กรุงเทพฯ--13 พ.ค.--โตเกียวมารีนประกันภัย
บริษัท โตเกียวมารีนประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยรายได้เบี้ยประกันภัยรับโดยตรงในปี 2557 มากกว่า7,412 ล้านบาท ลดลง 7.74% เมื่อเทียบกับปี 2556 โดยมีกำไรสุทธิมากกว่า 416 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.6% พร้อมโชว์ตัวเลขรายได้เบี้ยประกันภัยรับโดยตรงไตรมาสแรกของปี 2558 มากกว่า 1,948 ล้านบาท ลดลง 7.4% โดยมีกำไรสุทธิ 125ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2557
นายชินคิจิ มิกิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โตเกียวมารีนประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปี 2557 บริษัทมีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวมทั้งสิ้น 7,412 ล้านบาท ลดลง 7.7% นั้นเป็นผลมาจากเบี้ยประกันภัยรถยนต์ 3,567 ล้านบาท ลดลง 17.6% ซึ่งสาเหตุหลักของเบี้ยประกันภัยรถยนต์ลดลงนั้นเป็นผลมาจากยอดขายรถใหม่ในประเทศไทยในปี 2557 มีจำนวนลดลง ซึ่งในไตรมาสแรกของปี 2558 ก็เผชิญสถานการณ์เช่นเดียวกับปี 2557 โดยบริษัทมีเบี้ยประกันภัยรับตรงอยู่ที่ 1,948 ล้านบาท ลดลง 7.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2557
ในปีนี้บริษัทฯ ได้มีการขยายการให้บริการประกันวินาศภัยไปในกลุ่มธุรกิจประเภทโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งบริษัทมีความได้เปรียบทางด้านความชำนาญ และประสบการณ์ของเจ้าหน้าที่ผู้มีความเชี่ยวชาญในการให้บริการรับประกันวินาศภัย, ความสามารถในการรับงานของบริษัท รวมทั้งความมั่นคงของบริษัทที่อยู่ในระดับ A- จาก S&P เป็นส่วนสนับสนุนบริษัทในการเข้ารุกเข้าสู่ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน
นอกจากนี้บริษัทฯ มีการปรับราคาเบี้ยประกันภัยรถยนต์ในปีต่ออายุประกันวินาศภัยตามพฤติกรรมของผู้ขับรถยนต์ ซึ่งเป็นการให้รางวัลแก่ผู้ขับรถที่ดี โดยที่ผ่านมาได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า ส่งผลให้ในปีนี้บริษัทฯ มีสัดส่วนเบี้ยประกันภัยต่ออายุเพิ่มขึ้น 7% โดยคาดว่าจากการดำเนินงานตามกลยุทธ์ดังกล่าวจะสามารถสร้างการเติบโตตามเป้าหมายที่บริษัทฯ วางไว้ได้ เพื่อเดินหน้าสู่การเป็น 1 ใน 3 บริษัทประกันวินาศภัยที่ดี และน่าเชื่อถือที่สุดในประเทศไทย
นายกรกฤต คำเรืองฤทธิ์ กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายบัญชีและการเงิน กล่าวว่า เบี้ยประกันภัยรับตรงในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2557 มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 1,645 ล้านบาท ลดลง 3.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2556 โดยแบ่งออกเป็นประกันอัคคีภัย (Fire Insurance) 5.8 ล้านบาท ลดลง 19.6%, ประกันภัยขนส่งสินค้าทางทะเล (Marine Insurance) 194 ล้านบาท ลดลง 7.4%, ประกันภัยรถยนต์ (Motor Insurance) 895 ล้านบาท ลดลง 13.9% และสุดท้ายกลุ่มประกันภัยเบ็ดเตล็ด (Miscellaneous Insurance) มีเบี้ยประกันภัยรับตรง 549 ล้านบาท มีอัตราเติบโตเพิ่มขึ้น 25.2% โดยในปี 2557 ตั้งแต่เดือนมกราคม – ธันวาคม มีมูลค่าเบี้ยประกันภัยรับตรง รวมทั้งสิ้น 7,412 ล้านบาท ลดลง 7.7% แบ่งออกเป็นประกันอัคคีภัย (Fire Insurance) 28.3 ล้านบาท ลดลง 20.9% ประกันภัยขนส่งสินค้าทางทะเล (Marine Insurance) 794 ล้านบาท ลดลง 8.6% ประกันภัยรถยนต์ (Motor Insurance) 3,567 ล้านบาท ลดลง17.6% และสุดท้ายกลุ่มประกันภัยเบ็ดเตล็ด (Miscellaneous Insurance) มีเบี้ยประกันภัยรับตรงมากกว่า 3,021 ล้านบาท มีอัตราเติบโตเพิ่มขึ้น 8.0% โดยในปี 2557 มีกำไรสุทธิรวมทั้งสิ้น 416 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.6% เมื่อเทียบกับปี 2556 ซึ่งเป็นผลมาจากบริษัทมีอัตราค่าสินไหมทดแทนและการควบคุมค่าใช้จ่ายที่ดี
และการดำเนินงานในช่วงไตรมาสแรกของปี 2558 บริษัทฯ มีเบี้ยประกันภัยรับตรงอยู่ที่ 1,948 ล้านบาท ลดลง7.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2557 โดยแบ่งออกเป็น ประกันอัคคีภัย (Fire Insurance) ลดลง 43.0% ประกันภัยขนส่งสินค้าทางทะเล (Marine Insurance) เติบโตเพิ่มขึ้น 0.6% ประกันภัยรถยนต์ (Motor Insurance) ลดลง 21.2% และสุดท้ายกลุ่มประกันภัยเบ็ดเตล็ด (Miscellaneous Insurance) มีอัตราเติบโตเพิ่มขึ้น 6.2% โดยมีกำไรสุทธิ 125 ล้านบาท (หนึ่งร้อยยี่สิบห้าล้านบาท) เพิ่มขึ้น 11.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2557 โดยในปีนี้บริษัทฯ วางเป้าหมายเบี้ยประกันภัยรับตรงอยู่ที่ 8.2 พันล้านบาท หรือเติบโตขึ้นกว่า 10.8% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
นายไพชยนต์ สุธีรพงศ์พันธ์ รองกรรมการผู้จัดการ (ธุรกิจตัวแทนจำหน่ายและสถาบันการเงิน และฝ่ายการตลาดกิจการสาขา) กล่าวว่า การดำเนินธุรกิจในปี 2557 บริษัทฯ ได้มีการส่งมอบงานซ่อมรถของลูกค้ากลับไปให้แก่คู่ค้าที่เป็นศูนย์ซ่อมรถดีลเลอร์ผู้แทนจำหน่ายรถถึง 98.9% จากจำนวนลูกค้าที่มีการเคลมทั้งหมด การดำเนินงานดังกล่าวเป็นการสร้างความมั่นใจเรื่องคุณภาพงานซ่อมให้แก่ลูกค้า และยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีแก่พันธมิตรทางธุรกิจอีกด้วย
ในปี 2558 บริษัทฯ ได้มีการปรับราคาเบี้ยประกันภัยในปีต่ออายุสำหรับลูกค้า เพื่อสร้างแรงจูงในใจการต่ออายุประกันภัยให้กับลูกค้าและเพื่อเพิ่มศักยภาพทางการแข่งให้แก่ช่องทางตัวแทนและนายหน้า ให้สามารถแข่งขันกับคู่แข่งในท้องตลาดได้เป็นอย่างดี และยังเป็นการเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด (Market Share) อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้งทีมงานคุณภาพเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการให้บริการงานต่ออายุ (Renew) ที่มีประสิทธิภาพและสร้างความมั่นใจในบริการให้แก่ลูกค้า การปรับราคาเบี้ยประกันภัยและเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการในครั้งนี้ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า ส่งผลให้ช่วงไตรมาสแรกของปี 2558 เรามีสัดส่วนงานต่ออายุประกันภัย (Renew) ในช่องทาง Dealer & Finance ถึง 40% โดยมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และเชื่อว่าจะมีส่วนช่วยให้บริษัทฯ สามารถเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ได้
นายกรกฤต คำเรืองฤทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากการมุ่งหน้าพัฒนาการเติบโตทางธุรกิจแล้ว เรายังคงยึดมั่นดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนกิจกรรมรณรงค์ลดอุบัติเหตุบนท้องถนนกับมูลนิธิเมาไม่ขับ เป็นปีที่ 10, การให้การสนับสนุนโครงการตายเป็นศูนย์แก่มูลนิธิรัฐบุรุษ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นปีที่ 5, การสนับสนุนสภาสังคมสงเคราะห์ฯ โดยการมอบทุนการศึกษาให้เด็กนักเรียนจำนวน 100 ทุน เป็นปีที่ 11, การดำเนินโครงการ“รักโตเกียวมารีนประกันภัย รักษ์น้ำ รักษ์ป่า” ซึ่งเป็นกิจกรรมการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมต่อเนื่องเป็นปีที่ 9 โดยในปีนี้เราเปิดโอกาสให้ลูกค้าและประชาชนทั่วไปได้ร่วมกิจกรรมลุ้นรับสิทธิร่วมเดินทางทำความดีกับเราที่จังหวัดน่าน เพื่อสร้างประสบการณ์ร่วมกันระหว่างบริษัทฯ กับลูกค้าและประชาชนทั่วไป ซึ่งถือเป็นกิจกรรมเพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับแบรนด์โตเกียวมารีนประกันภัยอีกทางหนึ่งด้วย
นอกจากนี้ ในช่วงที่ผ่านมาผู้บริหารและพนักงานของโตเกียวมารีนประกันภัย ยังได้ร่วมแรงร่วมใจบริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวที่ประเทศเนปาล ซึ่งบริษัทฯ ได้สมทบทุนเงินบริจาคเพิ่มขึ้นอีก 1 เท่า จากยอดเงินบริจาคที่ได้รับ และได้นำเงินมอบให้แก่สภากาชาดไทยเพื่อส่งมอบความช่วยเหลือต่อไป และทั้งหมดที่กล่าวมานี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินธุรกิจภายใต้วิสัยทัศน์การเป็น Good Company ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของบริษัท