กรุงเทพฯ--14 พ.ค.--มีเดีย แพลนเนอร์ คอนซัลแทนท์
บมจ.ทีอาร์ซี คอนสตรัคชั่น โชว์ผลงานไตรมาส1/2558 มีกำไรสุทธิ 77.71 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 122.32% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 34.95 ล้านบาท หลังรับรู้รายได้จาก Backlog สะสมปีก่อน และส่งมอบงานได้ตามระยะเวลาที่กำหนด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “ภาสิต ลี้สกุล” มั่นใจปีนี้ผลการดำเนินงานจะเติบโตโดดเด่นอย่างต่อเนื่อง พร้อมวางเป้าระยะยาว 5 ปี ผลักดันรายได้ของกลุ่มบริษัทเติบโตไม่ต่ำกว่าปีละ 20% พร้อมเตรียมจ่ายหุ้น/เงินปันผลสำหรับผลประกอบการดำเนินงานปี 2557 ในวันที่ 28 พฤษภาคม 2558 นี้
นายภาสิต ลี้สกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีอาร์ซี คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) TRC เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานประจำงวดไตรมาส 1/2558 สิ้นสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2558 ว่า กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้จากการให้บริการก่อสร้างจำนวน774.06 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47.59 ล้านบาทจากงวดเดียวกันของปีก่อน หรือเพิ่มขึ้น 6.55% โดยรายได้ส่วนใหญ่เกิดจากโครงการระยะยาวที่มีอยู่ในมือยกมาจากปีก่อน ซึ่งบริษัทฯ ได้ดำเนินโครงการและส่งมอบงวดงานให้ลูกค้าได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด และมีกำไรขั้นต้น 171.86 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 53.31 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 44.96% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรขั้นต้น 118.55 ล้านบาท การเติบโตของกำไรขั้นต้นเนื่องจากการบริหารโครงการที่มีประสิทธิภาพ ประกอบกับมีงานเพิ่มเติมจากโครงการวางท่อก๊าซ กำไรสุทธิไตรมาสแรกเท่ากับ 77.71 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนจำนวน 42.75 ล้านบาท คิดเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ122.32%
ปัจจุบันบริษัทฯ และบริษัทย่อย มีงานที่อยู่ระหว่างก่อสร้างที่ยังไม่รับรู้รายได้รวม 13 โครงการ มูลค่า 6,625.51 ล้านบาท ประกอบไปด้วย บริษัท ทีอาร์ซี คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 9 โครงการ มูลค่างานที่เหลือ 6,539.43 ล้านบาท บริษัท สหการวิศวกร จำกัด จำนวน 4 โครงการ มูลค่างานที่เหลือ 86.08 ล้านบาท
“กำไรไตรมาสแรกของบริษัทฯ เติบโตโดดเด่น เนื่องจากรับรู้รายได้จากการให้บริการก่อสร้างเพิ่มขึ้นและ รับรู้รายได้จากโครงการที่ยกมาจากปีก่อน การส่งมอบงานให้ลูกค้าได้ตามระยะเวลาที่กำหนดรวมถึงการบริหารโครงการที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ปีนี้บริษัทฯ สามารถทำกำไรได้ 77.71 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 122.32% เมื่อเทียบจากงวดเดียวกันของปีก่อน” นายภาสิต กล่าว
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีอาร์ซี คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯ และบริษัทย่อยอยู่ระหว่างเตรียมเข้าประมูลงานใหม่มูลค่า 50,000-60,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นงานรับเหมาก่อสร้างที่เกี่ยวข้องกับการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และงานออกแบบและก่อสร้างเหมืองโปแตช มูลค่ากว่า 35,000 ล้านบาท หลังกระทรวงอุตสาหกรรมมอบประทานบัตรเหมืองแร่โปแตชฉบับแรกของไทยให้กับบริษัท เหมืองแร่โปแตชอาเซียน จำกัด (มหาชน) (APMC) ซึ่งTRC International Limited บริษัทย่อยที่ประเทศฮ่องกงถือหุ้นในสัดส่วน 4.31% และงานก่อสร้างถนนจากกรุงเทพมหานคร ซึ่งจะช่วยผลักดันมูลค่างานในมือ (Backlog) ในปีนี้ให้อยู่ที่ระดับกว่า 10,000 ล้านบาท
ทั้งนี้บริษัทฯ ได้วางเป้าหมายระยะยาว 5 ปี ว่าจะผลักดันรายได้ค่าบริการก่อสร้างของกลุ่มบริษัทฯ ให้เติบโตในระดับไม่ต่ำกว่าปีละ 20% และจะเข้าร่วมลงทุนในโครงการที่จะก่อให้เกิดรายได้ในระยะยาวไม่ต่ำกว่า 4 โครงการ ภายในปี 2562 บริษัทฯ ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2558 ในการเปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ตราไว้จาก 0.50 บาท เป็น 0.125 บาท การออกและเสนอขายหุ้นกู้ 500 ล้านบาท การออกและเสนอขายหุ้นกู้ 2,000 ล้านบาทพร้อมใบสำคัญแสดงสิทธิ การเพิ่มทุนแบบมอบอำนาจทั่วไป 330.46 ล้านหุ้น ทั้งนี้ การออกและเสนอขายหุ้นกู้ และการเพิ่มทุนจะเป็นการรองรับการขยายตัวทางธุรกิจ และการลงทุนในอนาคต นอกจากนั้นแล้ว บริษัท สหการวิศวกร จำกัด และบริษัท กิจการร่วมค้าซีอาร์สามและสหการ จำกัด (บริษัทย่อยของสหการที่จัดตั้งร่วมกับบริษัท ไชน่าเรลเวย์ สำนักที่สาม กรุ๊ป จำกัด (พันธมิตรจากประเทศจีน)) ยังได้รับอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2558 ในการเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 500 ล้านบาทเพื่อเตรียมการเข้าประมูลงานด้านสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ และงานจากการรถไฟแห่งประเทศไทย
ในวันที่ 28 พฤษภาคม 2558 นี้ บริษัทฯ จะจ่ายหุ้นและเงินปันผลสำหรับผลประกอบการดำเนินงานปี 2557 ให้กับผู้ถือหุ้นที่มีรายชื่อในวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธับเงินปันผล (Record Date) วันที่ 14 พฤษภาคม 2558 โดยบริษัทฯ จะจ่ายปันผลเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน 830,537,606 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.125 บาทให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ในอัตรา 4 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นปันผล หรือคิดเป็นอัตราการจ่ายปันผลในอัตราหุ้นละ 0.031250 บาท และจ่ายปันผลเป็นเงินสดในอัตราหุ้นละ0.003472 บาท หรือคิดเป็นเงินทั้งสิ้นไม่เกิน 11,535,245 บาท เพื่อรองรับการหักภาษี ณ ที่จ่ายตามอัตราที่กฎหมายกำหนด