กรุงเทพฯ--14 พ.ค.--สหวิริยาสตีลอินดัสตรี
- ปริมาณขายเหล็กรวมรายไตรมาส 718 พันตัน
- รายได้จากการขายและให้บริการรายไตรมาสรวม 11,023 ล้านบาท
- ขาดทุนสุทธิ (งบเดี่ยว) 865 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ (งบรวม) 3, 026 ล้านบาท
- EBITDA (งบเดี่ยว) ติดลบ 350 ล้านบาท EBITDA กลุ่ม (งบรวม) ติดลบ 1,654 ล้านบาท
บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) หรือ เอสเอสไอ รายงานผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 1/2558 ดังนี้
งบการเงินเฉพาะบริษัท – บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 5,446 ล้านบาท (ลดลงร้อยละ 6 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 46 จากงวดเดียวกันปีก่อน) โดยมีปริมาณขายเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วน 278 พันตัน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 จากไตรมาสก่อน แต่ลดลงร้อยละ 40 จากงวดเดียวกันปีก่อน) โดยเป็นการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มพิเศษ (Premium Value Products) ร้อยละ 41 ของปริมาณขายรวม EBITDA ติดลบ 350 ล้านบาท และมีผลขาดทุนสุทธิ 865 ล้านบาท (ขาดทุนเพิ่มขึ้นจากขาดทุนสุทธิ 757 ล้านบาทในไตรมาสก่อน และลดลงจากกำไรสุทธิ 347 ล้านบาทในงวดเดียวกันปีก่อน)
งบการเงินรวม – บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้จากการขายและให้บริการรวม 11,023 ล้านบาท (ลดลงร้อยละ 22 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 42 จากงวดเดียวกันของปีก่อน จากยอดขายของธุรกิจเหล็กแผ่นรีดร้อนที่ลดลงร้อยละ 6 จากไตรมาสก่อน และร้อยละ 46 จากงวดเดียวกันปีก่อน และยอดขายของธุรกิจโรงถลุงเหล็กให้แก่บุคคลภายนอกที่ลดลงร้อยละ 35 จากไตรมาสก่อน และร้อยละ 38 จากงวดเดียวกันปีก่อน) Group EBITDA ติดลบ 1,654 ล้านบาท มีผลขาดทุนสุทธิ 3,026 ล้านบาท (ขาดทุนเพิ่มขึ้นจากผลขาดทุนสุทธิ 1,552 ล้านบาทจากไตรมาสก่อน และจากผลขาดทุนสุทธิ 1,397 ล้านบาทจากงวดเดียวกันปีก่อน)
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 1/2558 ของบริษัทย่อยและกิจการที่ควบคุมร่วมกัน มีดังต่อไปนี้
· ธุรกิจโรงถลุงเหล็ก มีรายได้จากการขายและให้บริการรวม 8,816 ล้านบาท (ลดลงร้อยละ 24 จากไตรมาสก่อน และร้อยละ 30 จากงวดเดียวกันปีก่อน) EBITDA ติดลบ 1,252 ล้านบาท (ลดลงจาก EBITDA เป็นบวก 29 ล้านบาทจากไตรมาสก่อน และจาก EBITDA ติดลบ 883 ล้านบาทจากงวดเดียวกันปีก่อน) มีผลขาดทุนสุทธิ 2,073 ล้านบาท (ขาดทุนเพิ่มขึ้นจากขาดทุนสุทธิ 843 ล้านบาทจากไตรมาสก่อน และจากขาดทุนสุทธิ 1,701 ล้านบาทจากงวดเดียวกันปีก่อน)
· ธุรกิจท่าเรือ มีรายได้จากการให้บริการรวม 61 ล้านบาท (ลดลงร้อยละ 23 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 9 จากงวดเดียวกันปีก่อน) มีกำไรสุทธิ 10 ล้านบาท (ลดลงร้อยละ 60 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 27 จากงวดเดียวกันปีก่อน)
· ธุรกิจวิศวกรรม มีรายได้จากการขายและให้บริการรวม 160 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 จากไตรมาสก่อน แต่ลดลงร้อยละ 28 จากงวดเดียวกันปีก่อน) เป็นรายได้นอกกลุ่มร้อยละ 74 และมีผลขาดทุนสุทธิ 5 ล้านบาท (ขาดทุนลดลงร้อยละ 64 จากไตรมาสก่อน แต่ขาดทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 397 จากงวดเดียวกันปีก่อน)
· ธุรกิจเหล็กแผ่นรีดเย็น มีรายได้จากการขายรวม 3,031 ล้านบาท (ลดลงร้อยละ 8 จากไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 8 จากงวดเดียวกันปีก่อน) ขาดทุนสุทธิ 34 ล้านบาท (ลดลงร้อยละ 147 จากผลกำไรสุทธิในไตรมาสก่อน แต่ขาดทุนลดลงร้อยละ 69 จากงวดเดียวกันปีก่อน)
นายวิน วิริยประไพกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม และ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสเอสไอ กล่าวว่า “สภาวะตลาดในช่วงไตรมาสแรกมีความท้าทายอย่างมากและยากลำบากที่สุดที่เราได้พบในหลายปีที่ผ่านมา ปริมาณการส่งออกเหล็กที่ได้รับการอุดหนุนจากประเทศจีนยังคงสูงจากปัญหากำลังการผลิตล้นและการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ค่าเงินสกุลรูเบิลรัสเซียที่ตกต่ำอย่างผิดปกติได้ส่งผลให้ผู้ส่งออกเหล็กของรัสเซียได้เปรียบ นี่เป็นสถานการณ์การค้าที่ไม่เป็นธรรมและเรากำลังทำงานร่วมกับผู้ผลิตเหล็กในประเทศรายอื่น ๆ และสมาคมการค้าต่างๆ ที่จะยื่นคำร้องต่อรัฐบาลในการออกมาตรการเร่งด่วนเพื่อสร้างความเท่าเทียมในการแข่งขัน”
“แม้เราจะประสบความสำเร็จที่ดีโดยทีมงานของเราในบางเรื่อง เช่น การบรรลุอัตราการใช้ PCI สูงสุดที่ 135 กิโลกรัมต่อตันของธุรกิจโรงถลุงเหล็ก และยอดขายผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มพิเศษ (Premium Value Products: PVP) ร้อยละ 41 ของธุรกิจเหล็กแผ่นรีดร้อน แต่ตลาดโดยรวมชะลอตัวลง ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ผลักดันธุรกิจให้มี EBITDA หลักติดลบ 1,276 ล้านบาท นอกจากนี้เราได้ดำเนินการอย่างระมัดระวังโดยการตั้งค่าเผื่อการลดมูลค่าของสินค้าคงเหลือและตั้งสำรองจากภาระผูกพันตามสัญญาการซื้อวัตถุดิบอีก 378 ล้านบาทเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ตลาดปัจจุบัน”
“สำหรับแนวโน้มตลาดระยะสั้นเริ่มแสดงสัญญาณการฟื้นตัว หลังจากที่ราคาลดลงอย่างต่อเนื่องในทุกตลาดทั่วโลกติดต่อกันถึง 7 เดือน ขณะนี้เริ่มมีสัญญาณบวกในบางตลาด มีการปรับขึ้นราคาล่าสุดสำหรับผลิตภัณฑ์บางประเภทในสหรัฐอเมริกา ตลาดยุโรปตอนเหนือ และตุรกี ส่วนน้ำมันดิบ แร่เหล็กและเศษเหล็กมีแนวโน้มราคาสูงขึ้นซึ่งเป็นแรงผลักดันตลาด เราคาดว่าปริมาณขายจะกลับมาบางส่วนในไตรมาสสอง และส่วนต่างราคาจะกลับมาสู่ระดับปกติในไตรมาสสามที่เราคาดว่าจะกลับมามีกำไร”