กรุงเทพฯ--18 พ.ค.--IR PLUS
XO คาดผลการดำเนินงานปีนี้สดใส หลังไตรมาส 1/58 โชว์กำไรทะลัก 58.54% ทั้งไตรมาส Q2/58 ออเดอร์เข้าต่อเนื่อง “จิตติพร จันทรัช” เอ็มดี สั่งลุยเต็มสูบแม้ลูกค้าหลักในยุโรปได้รับผลกระทบเศรษฐกิจ พร้อมปรับกลยุทธ์เปลี่ยนยอดขายจากสกุลเงินยูโรเป็นเงินบาท หวังลดความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนในระยะยาว ไม่หมดเพียงเท่านี้ ล่าสุดเตรียมออก AEC range ในช่วง Q3/58 เจาะตลาดเออีซีเพิ่ม เพื่อรักษาการเติบโตของรายได้ปีนี้ให้โตตามเป้า 10-15%
นายจิตติพร จันทรัช กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็กโซติค ฟู้ด จำกัด (มหาชน) หรือ XO ผู้ส่งออกรายใหญ่ในผลิตภัณฑ์ซอสปรุงรสและน้ำจิ้มต่างๆ, ผลิตภัณฑ์เครื่องแกงเครื่องประกอบอาหาร, ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม, ผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปพร้อมรับประทาน และผลิตภัณฑ์อาหารกึ่งสำเร็จรูปและสำเร็จรูปอื่นๆ เปิดเผยว่า บริษัทฯ เดินหน้าสร้างยอดขายต่อเนื่อง พร้อมปรับกลยุทธ์ต่างๆ เพื่อให้ผลการดำเนินงานตลอดปี 2558 ของบริษัทฯ สดใส หลังจากไตรมาส 1/2558 มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นถึง 58.54%
นอกจากนี้ ยังพบว่าแนวโน้มธุรกิจในไตรมาส 2/2558 มีทิศทางที่ดีจากออเดอร์ลูกค้าที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง แม้ในช่วงที่ผ่านมาลูกค้าหลักบริษัทฯ ซึ่งอยู่ในกลุ่มสหภาพยุโรปเกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลง แต่บริษัทฯ ได้พยายามป้องกันความเสี่ยงดังกล่าวไว้บ้างแล้ว และพยายามรักษาอัตราการเติบโตให้ดีที่สุดโดยมีเป้าหมายรายได้ที่วางไว้จะเติบโตประมาณ 10-15% จากปีก่อนที่ทำได้ 734.95 ล้านบาท โดยบริษัทฯ ยังคงต้องติดตามลูกค้าและสถานการณ์ในยุโรปอย่างใกล้ชิดในไตรมาส 2-3/2558
พร้อมกันนี้ เพื่อรองรับปัญหาทางเศรษฐกิจของยุโรปและลดความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน บริษัทฯ จึงเจรจากับลูกค้าเกือบทุกรายในช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา ว่าต้องการเปลี่ยนราคาขายจากสกุลเงินยูโรเป็นเงินบาทและเงินดอลลาร์สหรัฐ หรือปรับราคาสินค้ากับลูกค้ากลุ่มยุโรปให้เพิ่มขึ้น โดยในปี 2557 ที่ผ่านมา บริษัทฯ มียอดขายเป็นสกุลเงินยูโรถึง 72% ยอดขายเป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ 12% และยอดขายเป็นเงินบาท 16% จากการเจรจากับลูกค้าดังกล่าว ส่งผลให้ในช่วงไตรมาส 1/2558 ที่ผ่านมา บริษัทฯ มีรายได้จากการขายในสกุลเงินยูโรเหลือเพียง 59.91% และตั้งแต่ไตรมาส 2 - 3/2558 เป็นต้นไป คาดว่ายอดขายของบริษัทฯ เกินครึ่งจะเปลี่ยนเป็นเงินบาท และยอดขายสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐจะอยู่ที่กว่า 20% ส่วนยอดขายสกุลเงินยูโรจะเหลือไม่ถึง 30% ซึ่งบริษัทฯ ก็มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้าไว้อยู่แล้ว
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเตรียมนำเสนอสินค้าใหม่ที่กำลังจะออก AEC range ราว 10 – 15 รายการ โดยเป็นสินค้ายอดนิยมและมีมาร์จิ้นสูง ทำให้เป็นรสชาติของคนเอเชีย และวางขายเจาะตลาดเอเชียให้เพิ่มขึ้น โดยคาดว่าจะวางตลาดได้ในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้
“ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯ พยายามเปลี่ยนยอดขายเป็นสกุลเงินบาทกับลูกค้า เพื่อลดความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน และเพิ่มเสถียรภาพของรายได้ในอนาคต ซึ่งลูกค้าให้การตอบรับเป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังต้องติดตามดูปัญหาในยุโรปอย่างใกล้ชิด แต่มั่นใจว่าลูกค้ายังคงให้การตอบรับสินค้าของบริษัทฯ เป็นอย่างดี จากการตรวจสอบออเดอร์ที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งไม่ใช่แค่บริษัทฯ ที่ขายของแพงขึ้น ใครที่ซื้อของและจ่ายเงินเป็นสกุลยูโร ผู้ผลิตก็ต้องขายของแพงขึ้นทุกราย และในช่วงที่ผ่านมายุโรปยังเป็นตลาดที่บริษัทฯ ขายง่ายและดีที่สุด แม้จะรุกตลาดอเมริการและจีนเพิ่มก็ตาม ลูกค้าในกลุ่มต่างๆ ก็ยังคงเติบโตขึ้นในอัตราส่วนที่เท่ากันเกือบทั่วโลก” นายจิตติพร กล่าว
สำหรับความคืบหน้าของแผนขยายกำลังการผลิตในโรงงานแห่งใหม่ที่นิคมอมตะซิตี้ จ.ระยอง บริษัทฯ เริ่มสั่งซื้ออะไหล่และวัสดุเพื่อเตรียมก่อสร้างแล้วในไตรมาส2 นี้ และคาดว่าเครื่องจักรจะเข้ามาในโรงงานใหม่ในช่วงไตรมาส 4/2558 เริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงไตรมาส 1/2559 สนับสนุนให้บริษัทฯ มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว หรือประมาณ 1.4 หมื่นตัน ต่อ 1 กะ สนับสนุนภาพรวมธุรกิจให้ต้นทุนลดลง และเติบโตอย่างแข็งแกร่งในอนาคต
“จากผลกระทบทางเศรษฐกิจในสกุลเงินยูโรที่ตกลง บริษัทฯ ก็ได้รับประโยชน์ในเรื่องการสร้างโรงงานใหม่ ซึ่งงบการสร้างโรงงานที่วางไว้ประมาณ 310 ล้านบาท โดย 70-75% เป็นการซื้อเครื่องจักรจากยุโรป ทำให้เราได้สินค้าที่มีราคาถูกลง หรือได้ของที่มีศักยภาพมากขึ้น อีกทั้ง เทคโนโลยีการผลิตอย่างต่อเนื่อง (Continuous line) ที่นำมาใช้ ทำให้เราสามารถลดการใช้แรงงานคนในขณะที่ประสิทธิภาพการผลิตยังสูง” นายจิตติพร กล่าว
ทั้งนี้ ผลประกอบการงวดสามเดือนแรกของปี 2558 (สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2558) บริษัทฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 22.23 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 58.54 จากงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 14.02 ล้านบาท
ส่วนรายได้จากการขายอยู่ที่ 174.33 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน 4.85 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 2.71 แม้ว่าบริษัทจะขายสินค้าได้ในปริมาณที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.37 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากการอ่อนค่าของเงินสกุลยูโร โดยบริษัทฯ มีรายได้จากการขายในสกุลเงินยูโรคิดเป็นร้อยละ 59.91 ของยอดขายในไตรมาส 1/2558 ทั้งนี้ บริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 181.86 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 1.30%
“ผลประกอบการไตรมาส 1/2558 ของบริษัทฯ มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นถึง 58.54% เนื่องจาก บริษัทฯ สามารถขายสินค้าภายใต้แบรนด์ของบริษัทฯ ได้อย่างต่อเนื่อง แม้รายได้จากการขายลดลงเล็กน้อย เนื่องมาจากได้รับผลกระทบจากเงินยูโรที่อ่อนค่าลง ซึ่งในไตรมาส 1/58 ที่ผ่านมา บริษัทฯ มีรายได้จากการขายในสกุลเงินยูโรอยู่เกือบ 60% ของยอดขายในไตรมาส 1/58 แต่ทั้งนี้ บริษัทฯ ก็ได้เจรจากับลูกค้าเพื่อเปลี่ยนราคาขายจากสกุลเงินยูโร เป็นเงินบาทและเงินดอลลาร์สหรัฐ และมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างแล้ว ส่งผลให้ในช่วงต่อจากนี้ จะลดความเสี่ยงในเรื่องค่าเงินยูโรที่ต่ำลง อีกทั้ง ในช่วงไตรมาส 1/58 ที่ผ่ามมา บริษัทฯ ได้ทำนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน จึงส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเข้ามาสนับสนุนผลงานในช่วงแรกของปีนี้” นายจิตติพร กล่าวในที่สุด