กรุงเทพฯ--18 พ.ค.--Francom Asia
บริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) ประกาศผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาส 1/2558 สรุปได้ดังนี้
กำไรสุทธิ
สำหรับไตรมาส 1 ปี 2558 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 664.0 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 36 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา กำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.068 บาทต่อหุ้น หรือลดลงร้อยละ 36 และมีกำไรสุทธิก่อนรวมกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่รับรู้ในไตรมาส 1 ปี 2558 จำนวน 607.9 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 38 (ไม่รวมขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 56.2 ล้านบาท)
ในไตรมาส 1 ปี 2558 บริษัทฯ ได้บันทึกรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมทุนในธุรกิจไฟฟ้าและสาธารณูปโภค (ไม่รวมกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง) จำนวน 241.2 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 17 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2557 และบริษัทฯ ได้บันทึกรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าเหมราชอินดัสเตรียล (HPF) จำนวน 20.2 ล้านบาท บริษัทฯ มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นจริงจากการลงทุนด้านพลังงาน (โครงการเก็คโค่-วัน และโครงการกัลฟ์ เจพี เอ็นแอลแอล) จำนวน 56.2 ล้านบาท ในขณะที่ในปี 2557 ช่วงเวลาเดียวกัน มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นจริงจำนวน 59.4 ล้านบาท
มร. เดวิด นาร์โดน กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ดังนี้
“บริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) มีผลการดำเนินงานและผลประกอบการในช่วง 3 เดือนแรกที่ค่อนข้างน่าพอใจท่ามกลางบริบททางเศรษฐกิจโดยรวมของไทย ทั้งนี้บริษัทฯ มีรายได้จากการขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมลดลงร้อยละ 58 โดยการรับรู้รายได้จะเกิดขึ้นเมื่อมีการโอนที่ดิน ยอดรายได้รอการรับรู้ลดลงนั้นเป็นผลจากยอดการผลิตยานยนต์ที่ลดลงในปี 2557 รวมถึงเงื่อนไขการลงทุนในภาพรวมไม่เอื้ออำนวย ในส่วนของรายได้รวมจากการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ในทุกกลุ่มเพิ่มขึ้นร้อยละ 13 เทียบกับไตรมาสแรกของปี 2557 และรายได้จากระบบสาธารณูปโภคในนิคมอุตสาหกรรม (ไม่รวมพลังงาน) เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา เนื่องจากมีปริมาณการใช้เพิ่มขึ้นเล็กน้อย
สำหรับไตรมาสแรกปี 2558 บริษัทฯ สามารถขายที่ดินอุตสาหกรรมจำนวน 186 ไร่ (74 เอเคอร์ หรือ 30 เฮกตาร์) จากสัญญาจำนวน 9 สัญญา โดยในจำนวนนี้เป็นลูกค้าใหม่จำนวน 7 ราย และการขยายโครงการของลูกค้าปัจจุบันอีก 2 ราย โดยร้อยละ 54 เป็นลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ไม่ใช่ยานยนต์
ยอดขายรถยนต์ภายในประเทศที่ลดลงร้อยละ 13 และยอดการส่งออกรถยนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ 12 ส่งผลให้ปริมาณการผลิตรถยนต์โดยรวมเติบโตเพียงร้อยละ 1 ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2558 มูลค่าการส่งออกยานยนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.1 เมื่อเทียบกับมูลค่าของยานยนต์ในช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยตัวเลขยานยนต์คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 15.84 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด หากมองในระยะยาวจะพบว่ายังคงมีการเปิดตัวรถรุ่นใหม่และการลงทุนด้านเทคโนโลยียานยนต์อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าอาจมีความล่าช้าบ้างก็ตาม ทั้งนี้ นิคมเหมราชฯ เป็นที่หมายของการลงทุนข้ามชาติขนาดใหญ่มาอย่างต่อเนื่องและเพิ่มขึ้นโดยลำดับ นอกจากนี้โรงงานประกอบรถยนต์ 4 รายที่ตั้งอยู่ในนิคมฯเหมราช ก็ได้รับการอนุมัติโครงการ Eco Car 2 เรียบร้อยแล้ว
ในสามเดือนแรกของปี 2558 โครงการที่ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) แล้วมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 218,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 523 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปี 2557 สะท้อนให้เห็นถึงปริมาณโครงการที่ตกค้างจำนวนมาก
สำหรับไตรมาสที่ 1 ปี 2558 พื้นที่ให้เช่าโรงงานสำเร็จรูปภายใต้กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าเหมราชอินดัสเตรียล(HPF) มีจำนวนเท่าเดิมคือ 301,896 ตร.ม. ในขณะที่บริการคลังสินค้าให้เช่าในโลจิสติกส์พาร์คของเหมราชฯ มีพื้นที่เพิ่มขึ้น 5,145 ตร.ม. หรือคิดเป็นร้อยละ 6 จากยอดของปี 2557
สำหรับธุรกิจโรงไฟฟ้า โครงการโรงไฟฟ้าอิสระเก็คโค่-วัน ขนาด 660 เมกกะวัตต์ (IPP) ซึ่งเหมราชถือหุ้นร้อยละ 35 และบริษัทโกลว์ถือหุ้นร้อยละ 65 (GDF Suez group) สามารถผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ร้อยละ 56 ในไตรมาสที่ 1 ปี 2558 เนื่องจากมีการปิดซ่อมบำรุง นอกจากนี้ ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ เหมราชฯ ยังได้ลงนามในข้อตกลงการถือหุ้นโครงการโรงงานไฟฟ้าขนาดเล็กกำลังการผลิต 126 เมกกะวัตต์ (SPP) อีก 7 โครงการ โดยเหมราชฯ เป็นผู้ถือหุ้นร้อยละ 25.01
และตามรายงานเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2558 หลังจากจบไตรมาส บริษัท ดับบลิวเอชเอ เวนเจอร์ โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้เข้าซื้อหุ้นของเหมราช คิดเป็นร้อยละ 92.88 จากจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) โดยก่อนหน้านี้ ได้มีการขอซื้อหุ้นร้อยละ 22.53 จากผู้ถือหุ้นที่เป็นกลุ่มผู้ก่อตั้งบริษัทฯ ไปแล้วสองราย
การผนึกกำลังความเป็นผู้นำของดับบลิวเอชเอ และเหมราชฯ จะทำให้ทั้งสองบริษัทสามารถนำเสนอสินค้าและบริการด้านนิคมอุตสาหกรรม ระบบสาธารณูปโภค โรงไฟฟ้า และโลจิสติกส์พาร์คที่ครบวงจรให้แก่ลูกค้า และสร้างเสริมความสำเร็จร่วมกันในอนาคต
บริษัทฯ มีแหล่งรายได้จากหลายธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ธุรกิจสาธารณูปโภค ธุรกิจพลังงาน และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จากผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2558 ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทาย บริษัทฯ แสดงให้เห็นความสามารถในการสร้างผลกำไรจากธุรกิจที่ลูกค้ามีการลงทุนต่อเนื่อง โดยกลยุทธ์ของบริษัทยังคงมุ่งเน้นการสร้างผลตอบแทนสูงสุดให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาวเป็นหลัก”
รายได้รวมและผลการดำเนินงาน 3 เดือนแรก ปี 2558
สำหรับสามเดือนแรกของปี 2558 บริษัทฯ มีรายได้รวมทั้งสิ้น 1,541.9 ล้านบาท เมื่อเทียบกับ 2,829.1 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2557 ลดลงร้อยละ 45 โดยรายได้มาจากธุรกิจหลักจำนวน 1,543.1 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 45 เปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2557 โดยรายได้การขายที่ดินอุตสาหกรรมในช่วง 3 เดือนแรก ปี 2558 มีจำนวน 874.4 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 58 และอัตรากำไรขั้นต้นร้อยละ 56 ทั้งนี้ยังมีรายได้จากการขายที่ดินอุตสาหกรรมที่มีการลงนามสัญญาซื้อขายไปแล้ว แต่รอการรับรู้อีกจำนวน 1,091 ล้านบาทในช่วง 3-12 เดือนข้างหน้าเมื่อมีการโอนเกิดขึ้น
รายได้จากระบบสาธารณูปโภคในนิคมอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นเป็น 429.7 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 3 แสดงให้เห็นถึงปริมาณการใช้สาธารณูปโภคที่เพิ่มขึ้น รายได้รวมจากระบบสาธารณูปโภคซึ่งรวมถึงรายได้จากระบบสาธารณูปโภคในนิคมอุตสาหกรรม เงินปันผลจากบริษัทด้านพลังงานและสาธารณูปโภค และรายได้จากระบบสาธารณูปโภคและบริการอื่นๆ จำนวน 433.6 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 3
รายได้จากการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์และการให้บริการโรงงานสำเร็จรูปและคลังสินค้าให้เช่า การให้เช่าฐานวางท่อ และการให้เช่าสำนักงานเพิ่มขึ้นเป็น 235.1 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 13 เนื่องจากมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการให้เช่าโรงงานสำเร็จรูปจำนวน 120.3 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 11 สะท้อนให้เห็นว่ามีความต้องการเพิ่มกำลังการผลิตที่สูงขึ้น ส่วนรายได้จากคลังสินค้าให้เช่ามีการเติบโตเพิ่มขึ้นเป็น 38.9 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 16 และรายได้จากการให้เช่าฐานวางท่อและสำนักงานขยับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 37.4 ล้านบาท และ 23.9 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้นร้อยละ 14 และร้อยละ10 ตามลำดับ เนื่องจากอัตราการเช่าพื้นที่และอัตราค่าเช่าที่สูงขึ้น
บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นจำนวน 784.4 ล้านบาท มีกำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA) จำนวน 694.7 ล้านบาท ในไตรมาสที่หนึ่งของปี 2558 โดยมีอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) และอัตรากำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA Margin) อยู่ที่ร้อยละ 51 และร้อยละ 45 ตามลำดับ
?
เหตุการณ์สำคัญสำหรับ 3 เดือนแรกของปี 2558
บริษัทฯ มียอดขายที่ดินอุตสาหกรรม จำนวน 186 ไร่ จาก 9 สัญญา โดยในจำนวนนี้เป็นลูกค้าใหม่จำนวน 7 ราย และจากการขยายกิจการของลูกค้าเดิมจำนวน 2 ราย ทำให้ในปัจจุบันเหมราชฯ มีลูกค้ารวมทั้งสิ้น 653 รายจากสัญญาซื้อขายทั้งสิ้น 984 สัญญา ซึ่งในจำนวนนี้เป็นลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์จำนวน 227 ราย จากสัญญาซื้อขายจำนวน 346 สัญญา
พื้นที่เช่าและขายของโรงงานสำเร็จรูปลดลงสุทธิ 174 ตารางเมตร รวมพื้นที่เช่าทั้งหมด 301,896 ตารางเมตร แบ่งเป็นพื้นที่การเช่าภายใต้บริษัทเหมราชจำนวน 190,782 ตารางเมตร และภายใต้กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าเหมราชอินดัสเตรียล (HPF) 111,114 ตารางเมตร ณ สิ้นปี 2557 (เหมราชถือหุ้นร้อยละ 23.12)
พื้นที่เช่าของคลังสินค้าเพิ่มขึ้นสุทธิ 5,145 ตารางเมตร หรือร้อยละ 6 จากปี 2557 รวมพื้นที่เช่าทั้งหมด 87,580 ตารางเมตร
โครงการเก็คโค่-วัน โรงไฟฟ้าถ่านหินขนาด 660 เมกะวัตต์ (IPP) ซึ่งเหมราชถือหุ้นร้อยละ 35 และบริษัทโกลว์ ถือหุ้นร้อยละ 65 (จีดีเอฟ ซุเอซ กรุ๊ป) ดำเนินการผลิตกระแสไฟฟ้าได้เพียงร้อยละ 56 ของกำลังการผลิต เนื่องจากการปิดซ่อมบำรุงตามแผน
ในไตรมาส 1 ปี 2558 บริษัทฯได้ออกหุ้นกู้อายุ 7 ปี จำนวน 1,000 ล้านบาท ด้วยอัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 4.7 และหุ้นกู้อายุ 10 ปี จำนวน 1,500 ล้านบาท ด้วยอัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 5
งบดุลรวมสำหรับงวด 3 เดือน สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2558
ณ วันที่ 31 มีนาคม 2558 บริษัทฯ ได้แสดงสินทรัพย์รวม จำนวน 35,714 ล้านบาท หนี้สินรวมจำนวน 20,043 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้น จำนวน 15,670 ล้านบาท สำหรับสัดส่วนของหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ อยู่ที่ 1.03 เท่า โดยมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดเป็นจำนวน 3,950 ล้านบาท
รายละเอียดเพิ่มเติมของบริษัทเหมราชฯ (SET symbol HEMRAJ)สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.hemaraj.com หรือwww.theparkresidence.co.th หรือติดต่อทางอีเมล์ที่ invest@hemaraj.com หรือ 02-719-9555-9