กรุงเทพฯ--20 พ.ค.--กลุ่มสารนิเทศการคลัง กระทรวงการคลัง
นายธีรัชย์ อัตนวานิช รองผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะในฐานะโฆษกสำนักงานบริหาร หนี้สาธารณะ ได้แถลงข่าวการดำเนินงานของสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ดังนี้
1. รายงานหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2558
ยอดหนี้สาธารณะคงค้าง ณ 31 มีนาคม 2558 มีจำนวนทั้งสิ้น 5,730,519.23 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 43.33 ของ GDP เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้า หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นสุทธิ 10,093.66 ล้านบาท ทั้งนี้ สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP มีการเปลี่ยนแปลงลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2558สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้ปรับปรุงวิธีการคำนวณ GDP และปรับประมาณการในปี 2558 โดยมีรายละเอียด ดังนี้
หนี้ของรัฐบาลเพิ่มขึ้น 23,846.11 ล้านบาท ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญเกิดจาก
- การกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ จำนวน 16,102.76 ล้านบาท
- การเพิ่มขึ้นของตั๋วเงินคลังเพื่อบริหารดุลเงินสด จำนวน 5,000 ล้านบาท
- การกู้เงินเพื่อการลงทุนจากแหล่งเงินกู้ในประเทศและต่างประเทศ จำนวน 2,398.08 ล้านบาท ประกอบด้วย การให้กู้ต่อแก่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยและการรถไฟแห่งประเทศไทย 1,956.08 ล้านบาท สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว สายสีน้ำเงิน สายสีม่วง รถไฟสายสีแดงและโครงการปรับปรุงทางรถไฟที่ไม่ปลอดภัย และการเบิกจ่ายเงินกู้เพื่อใช้ในโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (DPL) 442 ล้านบาท
- การเบิกจ่ายเงินกู้ภายใต้ พ.ร.ก. บริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ จำนวน 200 ล้านบาท
- การกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรรัฐบาลล่วงหน้าที่จะครบกำหนดในวันที่ 22 พฤษภาคม
2558 จำนวน 9,014 ล้านบาท
- การชำระหนี้ที่กู้มาเพื่อชดเชยความเสียหายให้แก่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ จำนวน 5,000 ล้านบาท
· หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงินมียอดหนี้คงค้างลดลง 9,195.48 ล้านบาท ซึ่งในเดือนมีนาคม 2558 มีการเบิกจ่ายเงินกู้จากแหล่งเงินกู้ต่างประเทศเพื่อลงทุนในโครงการสำคัญๆ ได้แก่ โครงการปรับปรุงกิจการประปาแผนหลักของการประปานครหลวง และโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย
หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน (รัฐบาลค้ำประกัน) มียอดหนี้คงค้างลดลง 3,334.90 ล้านบาท เนื่องจากการชำระหนี้เงินต้นของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
หนี้หน่วยงานของรัฐ มียอดหนี้คงค้างลดลง 1,222.07 ล้านบาท เนื่องจากการชำระหนี้เงินต้นของกองทุนอ้อยและน้ำตาล สำนักงานธนานุเคราะห์ และมหาวิทยาลัยพะเยา
การที่หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน (รัฐบาลค้ำประกัน) และหนี้หน่วยงานของรัฐมียอดหนี้คงค้างลดลง เนื่องจากมีการชำระคืนมากกว่าการเบิกจ่ายเงินกู้ และจากผลของการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน
หนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2558 เท่ากับ 5,730,519.23 ล้านบาท แบ่งเป็นหนี้ในประเทศ 5,388,803.31 ล้านบาท หรือเท่ากับร้อยละ 94.04 และหนี้ต่างประเทศ 341,715.92 ล้านบาท (ประมาณ 10,385.37 ล้านเหรียญสหรัฐ) หรือเท่ากับร้อยละ 5.96 ของยอดหนี้สาธารณะคงค้าง และ หากเปรียบเทียบกับเงินสำรองระหว่างประเทศ จำนวน 157,370.68 ล้านเหรียญสหรัฐแล้ว (ข้อมูล ณ 27 มีนาคม 2558) หนี้ต่างประเทศจะคิดเป็นสัดส่วนเพียงร้อยละ 6.60 ของเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงเสถียรภาพและความมั่นคงในด้านการเงินของประเทศ
โดยหนี้สาธารณะแบ่งออกเป็นหนี้ระยะยาวถึง 5,570,643.93 ล้านบาท หรือร้อยละ 97.21 และมีหนี้ระยะสั้นเพียง 159,875.30 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.79
2. รายงานผลการบริหารจัดการหนี้ภาครัฐที่ดำเนินการโดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะประจำเดือนมีนาคม 2558
สบน. มีการบริหารจัดการหนี้ภาครัฐ วงเงินรวม 90,805.83 ล้านบาท แบ่งเป็น หนี้ของรัฐบาล จำนวน 62,995.76 ล้านบาท และหนี้รัฐวิสาหกิจ จำนวน 27,810.07 ล้านบาท
v การบริหารจัดการหนี้ของรัฐบาล วงเงิน 62,995.76 ล้านบาท ประกอบด้วย
ผลการกู้เงินในประเทศของรัฐบาล จำนวน 18,167.89 ล้านบาท
- การกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ จำนวน 16,102.76 ล้านบาท โดยการออกพันธบัตรรัฐบาล 2 รุ่น จำนวน 15,000 ล้านบาท มีอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยที่ร้อยละ 3.53 ต่อปี และพันธบัตรออมทรัพย์ จำนวน 1,102.76 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 3.25 ต่อปี
- การเบิกจ่ายเงินกู้เพื่อวางระบบบริหารจัดการน้ำ จำนวน 200 ล้านบาท จากสัญญาเงินกู้วงเงิน 15,393 ล้านบาท ที่ได้ลงนามในสัญญาเงินกู้เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2556 ภายใต้ พ.ร.ก. บริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศฯ
- การเบิกจ่ายเงินกู้ให้กู้ต่อ จำนวน 1,423.13 ล้านบาท
- การเบิกจ่ายเงินกู้ จำนวน 442 ล้านบาท ซึ่งเป็นการกู้เงินบาททดแทนเงินกู้จากธนาคารโลก เพื่อใช้ในโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (DPL) ที่ได้ลงนามในสัญญาเงินกู้เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2557 วงเงิน 2,500 ล้านบาท
การเบิกจ่ายเงินกู้จากต่างประเทศของรัฐบาล จำนวน 607.07 ล้านบาท ประกอบด้วยการเบิกจ่ายเงินกู้จากธนาคารพัฒนาเอเชีย จำนวน 74.12 ล้านบาท สำหรับโครงการก่อสร้างทางสายหลักให้เป็น 4 ช่องการจราจร (ระยะที่ 2) ของกรมทางหลวง และการเบิกจ่ายเงินกู้จากองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น จำนวน 532.95 ล้านบาท สำหรับโครงการรถไฟสายสีแดง ของการรถไฟแห่งประเทศไทย
การปรับโครงสร้างหนี้ในประเทศของรัฐบาล จำนวน 23,014 ล้านบาท แบ่งเป็น
- ปรับโครงสร้างหนี้สัญญาเงินกู้ระยะสั้น ที่ออกภายใต้ พ.ร.ก ช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ (FIDF 1) จำนวน 14,000 ล้านบาท โดยการออกพันธบัตรรัฐบาลทั้งจำนวน
- การปรับโครงสร้างหนี้ล่วงหน้า สำหรับพันธบัตรรัฐบาลที่จะครบกำหนดในวันที่ 22 พฤษภาคม 2558 การออก R-bill จำนวน 9,014 ล้านบาท
·การชำระหนี้ของรัฐบาล จำนวน 21,206.80 ล้านบาท แบ่งเป็น
- การชำระหนี้โดยใช้เงินจากงบประมาณ จำนวน 11,297.65 ล้านบาท แบ่งเป็น ชำระต้นเงิน 3,000 ล้านบาท และชำระดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม 8,297.65 ล้านบาท
- การชำระหนี้ที่รัฐบาลกู้มาเพื่อชดเชยความเสียหายให้แก่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ จำนวน 8,970.22 ล้านบาท โดยใช้เงินค่าธรรมเนียมที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้รับจากธนาคารพาณิชย์ภายใต้ พ.ร.ก. ปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือ FIDF ฯ แบ่งเป็น ชำระต้นเงิน 5,000 ล้านบาท ชำระดอกเบี้ย 3,970.22 ล้านบาท
- การชำระหนี้ของเงินกู้ให้กู้ต่อของการรถไฟแห่งประเทศไทย จำนวน 938.93 ล้านบาท
โดยใช้เงินงบประมาณของการรถไฟแห่งประเทศไทย
v การบริหารจัดการหนี้รัฐวิสาหกิจ วงเงิน 27,810.07 ล้านบาท ประกอบด้วย
การกู้เงินในประเทศของรัฐวิสาหกิจ จำนวน 2,900 ล้านบาท แบ่งเป็น การออกพันธบัตรที่กระทรวงการคลังไม่ค้ำประกันของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จำนวน 2,000 ล้านบาท และการทำสัญญาเงินกู้กับธนาคารพาณิชย์ซึ่งกระทรวงการคลังค้ำประกันของการเคหะแห่งชาติ จำนวน 900 ล้านบาท
การเบิกจ่ายเงินกู้ต่างประเทศของรัฐวิสาหกิจ จำนวน 110.07 ล้านบาท แบ่งเป็นการเบิกจ่ายของการประปานครหลวง 90.03 ล้านบาท และการเบิกจ่ายของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย 20.04 ล้านบาท
การปรับโครงสร้างหนี้ในประเทศของรัฐวิสาหกิจ ในเดือนมีนาคม 2558 รัฐวิสาหกิจได้มีการปรับโครงสร้างหนี้ในประเทศ โดยการขยายอายุสัญญาเงินกู้ของการรถไฟแห่งประเทศไทย การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร วงเงินรวม 24,800 ล้านบาท