กรุงเทพฯ--25 พ.ค.--บลจ.กสิกรไทย
นายนาวิน อินทรสมบัติ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า เพื่อตอบโจทย์ความต้องการสำหรับผู้ลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงได้ระดับต่ำถึงปานกลาง และต้องการพักเงินเพื่อรอดูจังหวะการลงทุนในช่วงภาวะเศรษฐกิจที่มีความผันผวน บริษัทจึงได้เปิดเสนอขายกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศประเภทกำหนดอายุโครงการอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกสัปดาห์ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ลงทุน รวมถึงลูกค้ากลุ่มเดิมที่มีกองทุนครบกำหนดอายุและยังต้องการลงทุนกับกองทุนตราสารหนี้ต่อเนื่อง โดยในระหว่างวันที่ 26 พฤษภาคม – 2 มิถุนายน 2558 บลจ.กสิกรไทยจะเปิดเสนอขายกองทุนเปิดเค เอ็นแฮนซท์ ตราสารหนี้ต่างประเทศ 6 เดือน บีจี (KEFF6MBG) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 2.00% ต่อปี โดยกองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน และสำหรับผู้ลงทุนบุคคลธรรมดาไม่ต้องเสียภาษี
สำหรับภาวะตลาดตราสารหนี้ในสัปดาห์ที่ผ่านมา นายนาวินกล่าวว่า “อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยระยะสั้นอายุระหว่าง 3 เดือน - 1 ปี อยู่ที่ 1.50% ถึง 1.51% ต่อปี โดยปรับตัวลดลงเล็กน้อยจากสัปดาห์ก่อนหน้าประมาณ -0.01% ถึง -0.02% ต่อปี เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมามีแรงซื้อจากนักลงทุนทั้งในและต่างชาติ ประกอบกับธนาคารกลางจีนประกาศปรับลดอัตราการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) ลงอีก 1% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาวะชะลอตัว ขณะที่รายงานการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ เดือนมีนาคม 2558 ยังไม่มีการส่งสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างชัดเจน ส่งผลให้ในช่วงที่ผ่านมาอัตราผลตอบแทนพันธบัตรของไทยเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไม่มากนัก”
ด้านอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 6 เดือนของธนาคารพาณิชย์ไทยขนาดใหญ่ เฉลี่ยอยู่ที่ 1.01% ต่อปี (ณ วันที่ 22 พฤษภาคม 2558) ทั้งนี้ ผลตอบแทนของกองทุนเปิดเค เอ็นแฮนซท์ ตราสารหนี้ต่างประเทศ อายุโครงการ 6 เดือนที่บริษัทเปิดจำหน่ายในครั้งนี้ เป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการแหล่งพักเงินในช่วงระยะเวลาประมาณ 6 เดือน โดยยังคงให้โอกาสรับผลตอบแทนในอัตราที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำหลังหักภาษี ณ ที่จ่าย
อย่างไรก็ตาม บลจ.กสิกรไทยคาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% ต่อปี ไปอีกสักระยะหนึ่ง ภายหลังจากได้ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงติดต่อกันถึง 2 ครั้งนับตั้งแต่ต้นปี เนื่องจากที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยค่อนข้างเติบโตล่าช้า ทั้งนี้หากตัวเลขเศรษฐกิจไทยที่ออกมายังมีการฟื้นตัวที่ไม่ชัดเจน อาจส่งผลต่อการดำเนินนโยบายการเงินของกนง.ให้มีท่าทีผ่อนคลายมากขึ้น โดยอาจมีโอกาสปรับลดดอกเบี้ยลงได้เพิ่มเติม ซึ่งจะทำให้อัตราผลตอบแทนตราสารหนี้มีโอกาสปรับลดลงได้
ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย ยังได้เพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนต่อเนื่องให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนกับกองทุนตราสารหนี้แบบที่มีกำหนดอายุโครงการ (Fixed Term Fund) ของบลจ.กสิกรไทย ซึ่งเมื่อกองทุนครบกำหนดอายุโครงการ บริษัทจัดการจะนำเงินค่าขายคืนอัตโนมัติไปซื้อหน่วยลงทุนที่ผู้ลงทุนเลือกได้กองทุนใดกองทุนหนึ่งใน 3 กองทุน คือ กองทุนเปิดเค ตลาดเงิน (K-MONEY) กองทุนเปิดเค ตราสารรัฐระยะสั้น (K-TREASURY) หรือกองทุนเปิดเค เอ็มพลัส (K-MPLUS) ซึ่งอยู่ในกลุ่มกองทุนรวมตราสารหนี้ ของบลจ.กสิกรไทย
นายนาวินกล่าวถึงรายละเอียดของกองทุนต่อไปว่า สำหรับตราสารหนี้ที่กองทุนเปิดเค เอ็นแฮนซท์ ตราสารหนี้ต่างประเทศ 6 เดือน บีจี (KEFF6MBG) จะเข้าไปลงทุนในเบื้องต้นประกอบด้วยเงินฝาก Garanti Bank, ประเทศตุรกี, เงินฝาก Bank of China, สาขามาเก๊า, ตราสารหนี้ VakifBank, ประเทศตุรกี, ตราสารหนี้ Banco BTG Pactual S.A., ประเทศบราซิล และตราสารหนี้ Standard Bank of South Africa, ประเทศแอฟริกาใต้ โดยกองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน และเป็นกองทุนที่เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่มีสินทรัพย์ในการลงทุนสูงและสามารถยอมรับความเสี่ยงได้มากขึ้น เพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน โดยผู้ลงทุนต้องลงทุนด้วยเงินขั้นต่ำ 1,000,000 บาท
สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนกับกองทุน KEFF6MBG สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและขอรับหนังสือชี้ชวนเสนอขายได้ที่ธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา หรือสอบถาม KAsset Contact Center 0 2673 3888 หรือที่ www.kasikornasset.com