กรุงเทพฯ--27 พ.ค.--องค์การอ็อกแฟม
เป้าหมายการเติบโตของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลังการรวมประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจะพบอุปสรรคอย่างแน่นอนถ้าภาครัฐไม่ปรับนโยบายด้านการเกษตรให้เข้มแข็งต่อสภาวะโลกร้อนที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกวัน องค์การอ็อกแฟมกล่าวเตือนในรายงานฉบับล่าสุด
การที่ประเทศสมาชิกอาเซียนส่วนใหญ่มีรายได้หลักจากภาคเกษตร ซึ่งเป็นภาคที่ได้รับผลกระทบจากสภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงโดยตรงนั้น หมายความว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ AEC หรือ ASEAN Economic Community จะเดินหน้าต่อไปได้โดยไม่สะดุด โดยเฉพาะหลังจากตัวเลขล่าสุดจากองค์การสหประชาชาติเผยว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศของหลายๆ ประเทศสมาชิกจะลดไปถึง 2.2 เปอร์เซ็นต์โดยเฉลี่ยในปี พ.ศ. 2643 หรือในอีก 85 ปีข้างหน้า
AEC เป็นเป้าหมายการรวมตัวของประเทศสมาชิกอาเซียนเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองกับคู่ค้า มีเป้าหมายสร้างตลาดและฐานการผลิตร่วมกัน และจะมีการเคลื่อนย้ายสินค้า บริการ การลงทุน เงินทุน และแรงงานมีฝีมืออย่างเสรี โดยกำหนดให้แล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. 2558
ในรายงานฉบับใหม่ของอ็อกแฟมที่มีชื่อว่า Harmless Harvest หรือ “การเก็บเกี่ยวที่ปลอดภัย” ได้วิเคราะห์ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับภาวะโลกร้อนในภูมิภาค ปัญหาที่เกิดขึ้นและกำลังจะเกิด มูลค่าความเสียหาย ความสำเร็จของการปรับตัวต่อโลกร้อนของประเทศสมาชิกอาเซียน และความสำคัญของกองทุนโลกร้อนเพื่อการตั้งรับและปรับตัว โดยชี้ให้เห็นว่าระบบการเกษตรแบบยั่งยืนจะช่วยให้เกษตรกรมีความมั่นคงทางอาหาร และได้รับผลกระทบน้อยที่สุดได้อย่างไร
ริซ่า เบอร์นาเบ เจ้าหน้าที่ประสานงานโครงการรณรงค์ GROW ภูมิภาคเอเชียกล่าวว่า “เกษตรยั่งยืนเป็นองค์ประกอบหลักของความสำเร็จในการรวมอาเซียน ทุกประเทศสมาชิกจำต้องแก้ไขปัญหานี้ร่วมกันเพื่อการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนของเศรษฐกิจภูมิภาค เพราะรายได้หลักของภูมิภาคนี้มาจากการผลิตอาหารและการค้าภาคเกษตร”
ปัจจุบันนี้ เกษตรกรคือผู้ที่ได้รับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศเป็นอันดับแรก ผลการศึกษาของ S.K. Redfern และทีมวิจัย ที่นำเสนอต่อที่ประชุมองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) และองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) เมื่อ 3 ปีที่แล้วพบว่าปริมาณน้ำฝนที่ตกในประเทศกัมพูชา ลาว ไทย พม่า และเวียดนามลดลงกว่าปริมาณเฉลี่ยปกติในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา ก่อให้เกิดภัยแล้งขึ้นในวงกว้าง แมลงศัตรูพืชระบาดและโรคติดต่อเพิ่มขึ้นอีกด้วย
จากข้อมูลขององค์การสหประชาชาติ ปัจจุบันนี้ พื้นที่ปลูกข้าวของเวียดนามใน 4 จังหวัดกำลังถูกคุกคามโดยระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น สำหรับประเทศอินโดนีเซียที่มีประชากรหนาแน่น ผลผลิตข้าว 15 เปอร์เซ็นต์ที่เสียหายจากน้ำเค็มถือเป็นเรื่องน่าวิตกเลยทีเดียว ปัญหาการแทรกของน้ำเค็มนี้ยังเป็นปัญหาใหญ่ของชาวนาในพม่ามาหลายปีแล้วเช่นกัน
นอกจากนี้ ผลการศึกษาของสถาบันวิจัยข้าวนานาชาติ (International Rice Research Institute) พบว่าอุณหภูมิที่สูงขึ้น 1 องศา ทำให้ผลผลิตข้าวลดลงถึงร้อยละ 10 หนึ่งในทางแก้นี้คือเทคนิคการปลูกข้าวต้นเดียวแบบอินทรีย์ (Systems of Rice Intensification – SRI) ซึ่งเป็นการปลูกโดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดในสภาพแวดล้อมที่เสื่อมโทรมให้น้อยที่สุด แต่เป็นประโยชน์มากที่สุด ในช่วงเวลากว่า 10 ปีที่มีการปลูกข้าวด้วยวิธีนี้พบว่าสามารถเพิ่มผลผลิตได้หลายเท่าเมื่อเทียบกับการปลูกแบบที่นิยมทั่วไป
“สิ่งที่อาเซียนทำได้ คือช่วยเหลือชาวนาและชาวประมงโดยการสนับสนุนนโยบาย และการผลิตที่เอื้อต่อการปรับตัวโดยต้องให้การสนับสนุนอย่างเปิดเผย จริงจัง และเต็มที่ ไม่เพียงในเชิงนโยบาย แต่ในทางปฏิบัติผ่านงบประมาณและกำลังคนด้วย” เบอร์นาเบกล่าว
สามารถอ่านรายงานฉบับเต็มได้ที่ http://bit.ly/1IUVOdd