กรุงเทพฯ--2 มิ.ย.--Worklink PR
ก.ล.ต. นับหนึ่งไฟลิ่ง HPT พร้อมเดินหน้าเสนอขายไอพีโอ 120 ล้านหุ้น เข้าเทรดกระดานเอ็ม เอ ไอ (mai) มิ.ย.นี้ เตรียมนำเงินระดมทุนอัพกำลังการผลิตรองรับออร์เดอร์พุ่ง และเป็นทุนหมุนเวียน มั่นใจธุรกิจเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง APM ที่ปรึกษาการเงินเชื่อเป็นหุ้นดีน่าสนใจสำหรับนักลงทุน
นายสมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปรแมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ APM ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของบริษัท โฮม พอตเทอรี่ จำกัด (มหาชน) หรือ HPT เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อนุมัตินับหนึ่งแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ของ HPT เป็นที่เรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะสามารถเปิดจองซื้อหุ้นไอพีโอ และเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ภายในเดือนมิถุนายนนี้
โดยปัจจุบัน HPT มีทุนจดทะเบียนจำนวน 130 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 520 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 0.25 บาท โดยมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วเท่ากับ 100 ล้านบาท บริษัทจะทำการเสนอขายหุ้นไอพีโอจำนวน 120 ล้านหุ้น ให้กับประชาชนทั่วไป
“ก.ล.ต .ได้นับหนึ่งไฟลิ่งหุ้น ไอพีโอของ HPT เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และมั่นใจว่า HPT จะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน เนื่องจากบริษัทมีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจเครื่องเคลือบดินเผาประเภทไฟน์ไชน่า มายาวนานกว่า 14 ปี และมีรายได้และกำไรเติบโตต่อเนื่อง จนสามารถนำพาบริษัทเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ”นายสมภพ กล่าว
นายนิรันดร์ เชาว์กิตติโสภณ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โฮม พอตเทอรี่ จำกัด (มหาชน) หรือ HPT ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องเคลือบดินเผาประเภทไฟน์ไชน่า (Fine china) เพื่อใช้บนโต๊ะอาหาร สำหรับการใช้งานในโรงแรมหรือร้านอาหาร เปิดเผยว่า วัตถุประสงค์การระดมทุนของ HPT ในครั้งนี้ บริษัทจะนำเงินไปใช้เพื่อปรับปรุงสายการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รองรับการเติบโตของตลาดและคำสั่งซื้อ รวมทั้งจะนำเงินไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน
ทั้งนี้มั่นใจว่าการเสนอขายหุ้นไอพีโอของบริษัทจะเป็นที่สนใจของนักลงทุน เนื่องจากธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เซรามิคประเภทไฟน์ไชน่า (Fine china) เพื่อใช้บนโต๊ะอาหารในประเทศไทยมีผู้ประกอบการน้อยรายที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล อีกทั้งธุรกิจมีแนวโน้มการเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในอนาคตทั้งในส่วนของออร์เดอร์จากกลุ่มลูกค้าเดิม และการขยายตลาดไปสู่กลุ่มลูกค้าในประเทศต่างๆ ซึ่งบริษัทมีแผนขยายตลาดไปยังกลุ่มประเทศอเมริกาใต้ กลุ่มประเทศอาหรับ และ AEC
โดยออกงานแสดงสินค้าระดับนานาชาติอย่างต่อเนื่องเพื่อประชาสัมพันธ์สินค้าให้เป็นที่รู้จักเป็นวงกว้าง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบวงจร ซึ่งจะช่วยเพิ่มยอดขายให้กับบริษัทในอนาคต และเป็นการกระจายแหล่งที่มาของรายได้ เพื่อลดความเสี่ยงของธุรกิจอีกด้วย ทั้งนี้กลุ่มลูกค้าของบริษัทมีทั้งร้านอาหาร โรงแรมระดับ 3-5 ดาว ซึ่งจัดว่าเป็นกลุ่มลูกค้าแบบเฉพาะ (Niche Market) และบริษัทได้พิจารณาแล้วว่าเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง มีอัตรากำไรที่ดีกว่ากลุ่มลูกค้าประเภทอื่น
สำหรับผลการดำเนินงานย้อนหลังของบริษัท (2555-2557) มีรายได้จากการขาย 118.42 ล้านบาท 134.45 ล้านบาท และ131.04 ล้านบาท ตามลำดับ ทั้งนี้มีกำไรสุทธิ (2555-2557) บริษัทมีกำไรสุทธิเท่ากับ 13.77 ล้านบาท 15.23 ล้านบาท และ 13.75 ล้าน
บาทตามลำดับ