กรุงเทพฯ--8 มิ.ย.--บลจ.กสิกรไทย
บลจ.กสิกรไทย เดินหน้าจ่ายปันผลกองทุน ABFTH พร้อมเผยกองทุน ETF กองแรกของประเทศ ยังโชว์ฟอร์มแจ่ม ผู้ลงทุนยิ้มรับเงินเข้ากระเป๋า 12 มิ.ย นี้ รวมมูลค่ากว่า 97 ล้านบาท
นายชัชชัย สฤษดิ์อภิรักษ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ. กสิกรไทย) เปิดเผยว่า บลจ.กสิกรไทย เตรียมจ่ายเงินปันผลกองทุนเปิดดัชนีพันธบัตรไทยเอบีเอฟ (ABFTH) สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2557 ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2558 โดยจ่ายเงินปันผลในอัตรา 20 บาทต่อหน่วย มูลค่าการจ่ายเงินปันผลรวม 97.11 ล้านบาท โดยจะจ่ายให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีรายชื่อในสมุดทะเบียนเวลา 8.00 น. ของวันที่ 2 มิถุนายน 2558 และมีกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 12 มิถุนายน 2558
สำหรับกองทุนเปิดดัชนีพันธบัตรไทยเอบีเอฟ (ABFTH) เป็นกองทุนที่จัดตั้งขึ้นภายใต้โครงการกองทุนพันธบัตรเอเชียระยะที่ 2 หรือ Asian Bond Fund 2 – ABF2 ซึ่งเกิดจากความร่วมมือของธนาคารกลางชาติต่างๆ ในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกจำนวน 11 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย จีน ฮ่องกง อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น เกาหลี มาเลเซีย นิวซีแลนด์ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย เพื่อให้เกิดการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของนักลงทุนตลอดทั้งผู้ออกตราสารในตลาดตราสารหนี้ของประเทศสมาชิก และนับเป็นกองทุน ETF กองทุนแรกของไทยที่มีการลงทุนโดยอ้างอิงกับดัชนีตราสารหนี้ภาครัฐ โดยกองทุนมีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาลไทย หรือออกโดยภาครัฐที่มีรัฐบาลไทยเป็นผู้ค้ำประกัน หรือได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือไม่ต่ำกว่าระดับ Investment Grade จากสถาบันจัดอันดับที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล และเป็นกองทุนที่เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่สามารถยอมรับความเสี่ยงได้ต่ำ
“การจ่ายปันผลของกองทุน ABFTH ในครั้งนี้ มีมูลค่ารวมถึง 97.11 ล้านบาท ซึ่งแสดงให้เห็นว่าบริษัทสามารถรักษามาตรฐานในการบริหารกองทุนให้มีผลการดำเนินงานอยู่ในระดับที่ดีใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิง และมีการจ่ายปันผลที่สม่ำเสมอมาตลอดระยะเวลากว่า 9 ปี นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุน แม้ว่าบรรยากาศการลงทุนจะมีความผันผวนอยู่ตลอดก็ตาม ทั้งนี้ตั้งแต่ต้นปี 2558 ที่ผ่านมา สถานการณ์การลงทุนยังคงได้รับปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ทั้งจากการเผชิญกับแรงกดดันของสถานการณ์เศรษฐกิจไทยที่ยังมีการฟื้นตัวที่ล่าช้า ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ โดยคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอย่างต่อเนื่องติดต่อกันถึง 2 ครั้งนับตั้งแต่ต้นปี จนปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำที่ 1.50% ต่อปี เพื่อพยุงเศรษฐกิจไทย นอกจากนี้ยังเผชิญกับปัจจัยภายนอกประเทศ ได้แก่ ปัจจัยด้านเศรษฐกิจโลกในภาพรวมที่ยังคงชะลอตัว อาทิ สหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่นและจีน ที่ยังมีทิศทางการฟื้นตัวไม่ชัดเจน ทำให้ธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลกยังมีการดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงินต่อเนื่อง ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกอยู่ในระดับต่ำ รวมถึงกรณีของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่ยังคงส่งสัญญาณการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยที่ไม่ชัดเจน ส่งผลทำให้เกิดความผันผวนทั้งตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้” นายชัชชัยกล่าว
จากปัจจัยที่กล่าวมา จึงส่งผลกระทบต่อเนื่องกับอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรและตราสารหนี้ให้เกิดความผันผวนในช่วงเวลาที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามด้วยจุดเด่นของกองทุน ABFTH ที่มุ่งเน้นลงทุนในพันธบัตรที่มีความมั่นคงสูง และมีผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิง ทำให้กองทุนยังรักษาผลการดำเนินงานอยู่ในระดับที่น่าพอใจ และสามารถจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง โดยตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2549 กองทุน ABFTH มีการจ่ายเงินปันผลไปแล้ว 19 ครั้ง รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน 363.36 บาทต่อหน่วย
นายชัชชัยกล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ บลจ.กสิกรไทยยังคงเปิดเสนอขายกองทุนตราสารหนี้แบบมีอายุโครงการเป็นประจำอย่างต่อเนื่องทุกสัปดาห์ เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับผู้ลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงได้ต่ำถึงปานกลาง โดยในระหว่างวันที่ 9 - 15 มิถุนายน 2558 บลจ.กสิกรไทยจะเปิดเสนอขายกองทุนเปิดเค เอ็นแฮนซท์ ตราสารหนี้ต่างประเทศ 6 เดือน บีไอ (KEFF6MBI) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 2.00% ต่อปี โดยในเบื้องต้นจะลงทุนในเงินฝาก Garanti Bank, ประเทศตุรกี, เงินฝาก Bank of China, สาขามาเก๊า, ตราสารหนี้ Yapi Kredi Bankasi A.S., ประเทศตุรกี, ตราสารหนี้ VakifBank, ประเทศตุรกี และตราสารหนี้ Banco BTG Pactual S.A. ประเทศบราซิล โดยผู้ลงทุนต้องลงทุนด้วยเงินขั้นต่ำ 1,000,000 บาท และกองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน
ผู้ที่สนใจลงทุนในกองทุน ABFTH และกองทุน KEFF6MBI สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา หรือสอบถามเพิ่มเติมที่ บลจ.กสิกรไทย หรือ KAsset Contact Center 0 2673 3888