กรุงเทพฯ--8 มิ.ย.--
"หนังสือนี้มีมากมายหลายชนิด นำดวงจิตเริงรื่นชื่นสดใส
ให้ความรู้สำเริงบันเทิงใจ ฉันจึงใฝ่ใจสมานอ่านทุกวัน
มีวิชาหลายอย่างต่างจำพวก ล้วนสะดวกค้นได้ให้สุขสันต์
วิชาการสรรมาสารพัน ชั่วชีวันฉันอ่านได้ไม่เบื่อเลย"
บทกวีข้างต้น เป็นพระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เจ้าฟ้านักอ่าน ที่ทรงพระราชนิพนธ์ เมื่อพระชนมายุ 12 พรรษา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการอ่าน เพราะนอกจากยิ่งอ่านก็จะยิ่งรู้โลกกว้างแล้ว ยังช่วยในเรื่องของวิธีคิดอีกด้วย โดยเฉพาะในเรื่องของการคิด วิเคราะห์ และแยกแยะ
เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องปลูกฝังการอ่านกันตั้งแต่เด็กๆ เพราะถ้าสังคมใดเลี้ยงดูเด็กๆให้เติบโตมาด้วยพื้นฐานทางความคิดที่ดีแล้ว ก็สามารถมั่นใจในปัจจุบันและอนาคตของสังคมนั้นได้ไม่ยากเลย
สำนักงานอุทยานการเรียนรู้ (สอร.) ในสังกัดสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) เป็นอีกองค์กรที่จัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน การเรียนรู้อยู่อย่างสม่ำเสมอทั้งในและนอกพื้นที่ของทีเค พาร์ค จึงได้สานต่อโครงการ Read Thailand อ่านเถิด ...เด็กไทย อ่านถวายเจ้าฟ้านักอ่าน ปีที่ 2 ขึ้น หลังจากได้ขอพระราชานุญาตดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2557 เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุ 60 พรรษา ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจ สร้างคุณอเนกอนันต์ต่อทวยราษฎร์ในทุกด้านอย่างหาที่สุดมิได้ รวมถึงพระราชจริยวัตรอันงดงามด้านการอ่านและการเรียนรู้ต่อเนื่องตลอดชีวิต ที่ทรงสนพระทัยตั้งแต่ทรงพระเยาว์จนถึงปัจจุบัน
ดร.สิริกร มณีรินทร์ ที่ปรึกษาโครงการ Read Thailand อ่านเถิดเด็กไทย...อ่านถวายเจ้าฟ้านักอ่าน ปีที่ 2 เปิดเผยว่าการส่งเสริมการอ่านถือเป็นเรื่องสำคัญ ที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โครงการ Read Thailand นี้นั้น ทางท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม วีระ โรจน์พจนรัตน์ ก็เห็นว่าเป็นภารกิจสำคัญที่ควรต้องดำเนินการเพื่อส่งเสริมการอ่าน ทีเค พาร์คเองก็ถือเป็นองค์กรกลางที่หวังร่วมสร้างวัฒนธรรมการอ่านให้เกิดขึ้นได้จริงในสังคมไทยด้วยโครงการต่างๆที่จัดกิจกรรมเพื่อเด็ก เยาวชน และประชาชนทั่วไปอย่างสม่ำเสมอ
โดย โครงการ Read Thailand ปีที่ 2 นี้ ได้ขยายโอกาสจากประถมศึกษาทุกสังกัดเพียงอย่างเดียวในครั้งแรก มาสู่การเปิดโอกาสให้นักเรียนระดับมัธยมทุกสังกัดได้มีส่วนร่วมด้วย เพื่อให้โรงเรียนทั้งระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาทุกสังกัด สามารถเสนอนวัตกรรมส่งเสริมการอ่านสู่วิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศเข้าร่วมคัดเลือก เพื่อค้นหา 60 ยอดนวัตกรรมปีที่ 2
นวัตกรรมส่งเสริมการอ่านที่มีประสิทธิภาพ จะเป็นแบบอย่างให้โรงเรียนอื่นๆได้นำไปปรับประยุกต์ใช้ได้อย่างเหมาะสมกับบริบททั้งตัวผู้เรียนและพื้นที่ ซึ่งก็จะทำให้การปลูกฝัง ส่งเสริมให้เด็กไทยมีนิสัยรักการอ่านมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมถึงเพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ผู้บริหารและครูที่เห็นความสำคัญของการดำเนินกิจกรรมส่งเสริมการอ่านใช้เป็นเครื่องมือในการจัดการเรียนการสอนตลอดจนการปูพื้นฐานความใฝ่รู้ ใฝ่เรียน และการคิดวิเคราะห์ของผู้เรียน
โดยโรงเรียนทั้งระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาทุกสังกัด สามารถเสนอนวัตกรรมส่งเสริมการอ่านสู่วิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศเข้าร่วมคัดเลือก เพื่อค้นหา 60 ยอดนวัตกรรมดังกล่าว
“ในปีที่แรกโครงการ READ THAILAND เน้นโรงเรียนประถมศึกษาทุกสังกัดทั่วประเทศ แต่โครงการนี้ได้รับความสนใจอย่างสูง และสามารถสร้างพลังแห่งการปลูกฝังการอ่านแก่เด็กประถม จึงขยายไปสู่ระดับมัธยมด้วย
การส่งเสริมการอ่านแบบนี้ ถ้าโรงเรียนที่เข้าร่วมดำเนินการอย่างต่อเนื่องจริงจังในเวลาเพียง 1 เทอม ก็ส่งผลชัดเจนต่อการเรียนการสอนแล้ว โดยเฉพาะ โรงเรียนที่อยู่ห่างไกล เช่น โรงเรียนสามจังหวัดภาคใต้ ซึ่งอยู่ในสังคมพหุวัฒนธรรม เด็กมีผลสัมฤทธิ์ทางด้านภาษาไทยอ่อนมาก ถ้าส่งเสริมให้เด็กอ่านต่อในช่วงนี้ ก็จะกลายเป็นพื้นฐานสำคัญทั้งการอ่านและการวิเคราะห์ และนำสิ่งที่อ่านไปต่อยอดได้
“พลังการอ่านเป็นสิ่งสำคัญที่สร้างสังคมให้เข้มแข็ง เป็นเสมือนหนึ่งการปูพื้นฐานทางด้านปัญญาให้แก่เด็ก คืออ่านเป็น อ่านแล้วมีความเข้าใจ เกิดจินตนาการ เกิดปัญญาตามมา
โครงการนี้จึงเป็นเรื่องของการปลูกฝังพลังปัญญาที่สำคัญอย่างยิ่ง เราจะเห็นว่าประเทศที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาสมรรถนะของพลเมือง เช่น เกาหลี สิงคโปร์ ล้วนแต่เกิดจากความส่งเสริมการอ่านอย่างจริงจัง” ดร.สิริกรกล่าว
ด้านคุณสุดใจ พรหมเกิด ผู้จัดการแผนการอ่าน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่าโครงการRead Thailand สามารถกระตุ้นเร้า สร้างความเข้าใจ ก่อกระแสการอ่านได้กว้างขวาง โดยสามารถระดมความร่วมมือ การบูรณาการองค์กรต่างๆทั้งภาคส่วนราชการ เอกชน และภาคธุรกิจได้อย่างสูง เพราะมีทิศทางและเป้าหมายที่ท้าทายเด็กวัยเรียน
“การอ่านในช่วงปฐมวัยเปรียบดังการวางรากฐานอิฐก้อนแรกในการบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งการเรียนรู้ การวางรากฐานชีวิตมนุษย์ที่จะต้องมีทั้งปัญญาเพื่อสร้างทักษะชีวิต และปัญญาภายในเพื่อรู้จักตัวเองและมีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ ซึ่งการส่งเสริมการอ่านอย่างต่อเนื่องในวัยเรียนคือการสานพลังให้เส้นทางการเรียนรู้ การแสวงหาความรู้ตลอดชีวิตเข้มแข็ง หนักแน่น และกว้างขวางขึ้น”
ด้านคุณจรัญ หอมเทียนทอง นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (PUBAT) กล่าวว่าพลังของการอ่าน ถือเป็นพลังที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและสามารถขับเคลื่อนสังคมให้เดินหน้าได้ ในประวัติศาสตร์โลกมีการเปลี่ยนแปลงมากมายที่เกิดขึ้น เพราะรัฐสร้างและปลูกฝังการอ่านให้แก่ประชาชน
“มีคำกล่าวหนึ่งที่ว่า The Book Change You and You Can change the World ซึ่งถ้าเรามองไปยังเหตุการณ์สำคัญๆในประวัติศาสตร์โลกจะเห็นเลยว่าคำพูดนี้คือสัจธรรม สงครามเวียดนามส่วนหนึ่งที่ชนะอเมริกาได้เพราะชาวเวียดนามเรียนรู้ประวัติศาสตร์จากกการอ่านหนังสือ และจดจำเพื่อไม่ให้ย่ำซ้ำรอยเดิม เกาหลีใต้ที่รุดหน้าอย่างรวดเร็วและหลุดพ้นความยากจนในเวลาเพียง 30 ปี ส่วนหนึ่งก็เพราะการสร้างวัฒนธรรมการอ่านให้เกิดขึ้น
สังคมไทยเป็นสังคมมุขปาฐะ ไม่แปลกที่คนไทยจะอ่านหนังสือน้อย การอ่านเพิ่งเกิดขึ้นในสังคมไทยได้ไม่เกิน 200 ปี แต่อนาคตข้างหน้า คือหน้าที่ของเราที่จะต้องร่วมกันปลูกฝังและเพาะเมล็ดพันธ์ของการอ่านให้เกิดแก่คนรุ่นหลัง ไม่ว่าเทคโนโลยีที่ใช้อ่านจะเปลี่ยนไปแค่ไหนก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ถ้าอ่านเป็น และโครงการ Read Thailand ก็เป็นโครงการที่สำคัญโครงการหนึ่งที่ช่วยเพาะเมล็ดพันธุ์ของความรักการอ่านในใจเด็กๆที่จะเป็นอนาคตต่อไป”
ขณะที่นายวุฒิวัฒน์ อินทสุวรรณ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านดอนสูง จ.ตราด ซึ่งชนะเลิศในระดับโรงเรียนขนาดกลางเมื่อปีที่ผ่านมา เปิดเผยว่าหลังจากได้รับรางวัลไป ก็ไม่ได้หยุดทำกิจกรรมเกี่ยวกับการอ่าน โดยยังส่งเสริมให้ครูและนักเรียนทำกิจกรรมร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ ให้เป็นกิจวัตรประจำวัน และยังไปร่วมกับชุมชนในการทำกิจกรรมด้วย เช่นส่งเสริมครอบครัว ให้คุณแม่กำลังท้องอ่านหนังสือให้ลูกฟัง เพราะอาจทำให้เด็กผูกพันกับหนังสือ
“โครงการส่งเสริมการอ่านในสังคมเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะเป็นเรื่องของการสร้างวิธีคิด สำหรับโครงการ Read Thailand ปีที่ 2 นี้ก็อยากจะเชิญชวนโรงเรียนต่างๆให้ส่งนวัตกรรมส่งเสริมการอ่านมาร่วมโครงการ เพราะการอ่านเป็นพื้นฐานความรู้ของเด็ก ถ้าเด็กมีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องต่างๆ เขาเรียนรู้ได้ ก็สามารถแยกแยะความถูกผิดได้ด้วยตัวเอง”
ถือเป็นโค้งสุดท้ายแล้วที่โรงเรียนระดับประถม มัธยมทั้ง 2 ระดับ จะได้ร่วมเทิดพระเกียรติ โดยการสมัครเข้าร่วมโครงการ “Read Thailand 2 อ่านเถิด...เด็กไทย อ่านถวายเจ้าฟ้านักอ่าน ปีที่ 2” ด้วยการนำเสนอ 60 วิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศ เพื่อค้นหาสุดยอด 60 นวัตกรรมการส่งเสริมการอ่าน พร้อมรับถ้วยรางวัลพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมเงินรางวัล
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.readthailand.com หรือ www.obec.go.th หรือทางเฟซบุ๊ก Read Thailand ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 12 มิถุนายน 2558