กรุงเทพฯ--16 มิ.ย.--IR Network
บมจ.เอ็น.ดี.รับเบอร์ (NDR) ผู้ผลิตยางรถมอเตอร์ไซค์ภายใต้ แบรนด์ ND RUBBER แจกข่าวดี!!! รับออเดอร์อินเดียมูลค่า 50-80 ล้านบาทต่อปี เตรียมเซ็นสัญญาภายในเดือนมิถุนายนนี้ ผู้บริหารหนุ่มไฟแรง “ชัยสิทธิ์ สัมฤทธิวณิชชา” แย้มแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส2/58 สดใส ลุยขยายฐานลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ มั่นใจรายได้ปีนี้เติบโต 10%ตามเป้า พร้อมรักษาอัตรากำไรสุทธิปีนี้ไว้ที่ 7%
นายชัยสิทธิ์ สัมฤทธิวณิชชา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ดี.รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) (NDR) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการเจรจาออเดอร์ใหม่จากประเทศอินเดียมูลค่า 50-80 ล้านบาทต่อปี ว่า ล่าสุดได้ข้อสรุปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยคาดว่าจะสามารถเซ็นสัญญาได้ภายในเดือนมิถุนายนนี้ ซึ่งออเดอร์ใหม่ที่เข้ามาจะเป็นตัวช่วยผลักดันผลประกอบการในปี 2558 ให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง
สำหรับแผนการดำเนินงานในปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 10% จากปีก่อน และเพิ่มสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเป็น 60% จากเดิม 50% เพื่อชดเชยรายได้จากตลาดในประเทศที่ชะลอตัว พร้อมรักษาอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ในปีนี้ ให้อยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 7% โดยมุ่งเน้นการบริหารจัดการด้านต้นทุนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
“ปีนี้เราเน้นการทำกิจกรรมกับตัวแทนจำหน่ายมากขึ้น หลังจากที่สินค้าในกลุ่มตลาดทดแทนภายในประเทศ (REM) ค่อนข้างซบเซา เนื่องจากได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ขณะเดียวกันยังเน้นการรับจ้างผลิต (OEM) ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดย OEM ในประเทศมีแผนขยายตลาดไปยังลูกค้ากลุ่มผู้ผลิตรถจักรยานยนต์เพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบันได้เริ่มส่งออเดอร์ให้กับกลุ่มซูซุกิแล้วอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ OEM ในต่างประเทศ นอกเหนือจากกลุ่มลูกค้าหลักที่มาเลเซียแล้ว บริษัทยังมีแผนการขยายตลาดไปยังต่างประเทศเพิ่มเติม โดยมั่นใจว่ารายได้รวมในปีนี้จะเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้” นายชัยสิทธิ์ กล่าว
ส่วนแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 2/2558 คาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง และผ่านจุดต่ำสุดแล้ว หลังจากในช่วงไตรมาส 1/2558 ที่ผ่านมารายได้ปรับตัวลดลง เนื่องจากตลาดในมาเลเซีย ซึ่งเป็นตลาดหลักในการส่งออกมีการเปลี่ยนแปลงเรื่องการจัดเก็บภาษี ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2558 ทำให้ลูกค้ามีการชะลอการสั่งซื้อสินค้า และมีการขอให้เก็บสินค้าไว้ที่คลังก่อนเพื่อนำส่งภายหลังวันที่ 1 เมษายน 2558 แทน โดยในไตรมาส 1/2558 บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 178 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 4.7 ล้านบาท