กรุงเทพฯ--28 มิ.ย.--เมืองไทยประกันภัย
“เมืองไทยประกันภัย” ประกาศก้าวขึ้นเป็นผู้นำบริษัทธุรกิจประกันภัย ชูแผนการตลาดเชิงรุก ด้วยช่องทางการชำระเบี้ยที่หลากหลาย—บริการอย่างครบวงจรที่เข้าถึงความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง พร้อมปรับภาพลักษณ์ใหม่ ภายใต้คอนเซปท์ “SERVICE” ที่เน้นการให้บริการมากกว่าเป็นผู้รับประกัน เดินหน้าปูพรมขยายสำนักงานตัวแทนทั่วประเทศ มั่นใจกวาดเบี้ยประกันภัยทั้งปีถึง 1,700 ล้านบาท โตกว่า 17 %
นางนวลพรรณ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ครึ่งปีหลังของปี 2548 บริษัทฯ ได้ปรับภาพลักษณ์องค์กรใหม่ (Re-branding) ด้วยการปรับเปลี่ยนสีโลโก้ของบริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด ภายใต้คอนเซปท์ “SERVICE” เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของบริษัทที่ได้วางไว้ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา คือ การเป็นผู้ให้บริการมากกว่าการเป็นผู้รับประกันภัย
“การรีแบรนด์ดิ้งของบริษัทฯ ครั้งนี้ เป็นเพียงการเพิ่มสีสันให้สอดคล้องกับ โลโก้ที่ยังคงรูปลักษณ์เดิม ทั้งนี้เพื่อให้ง่ายต่อการรับรู้ และการจดจำ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความทันสมัย การมีเอกลักษณ์ และคุณภาพ สีที่ใช้จะเป็นโทนสีน้ำเงิน ฟ้า ขาว และแดง การใช้สีที่เปลี่ยนใหม่ครั้งนี้ นับว่าได้ผ่านกระบวนความคิดที่สอดคล้องกับกลยุทธ์ทางการตลาดที่มุ่งตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าเป็นหลักนั่นเอง” นางนวลพรรณ กล่าว
พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยังได้ตั้งเป้าที่จะก้าวเป็นผู้นำธุรกิจประกันภัย โดยบริษัทจะใช้กลยุทธ์การตลาดเชิงรุกมุ่งสนองความต้องการของลูกค้ามากที่สุด เพื่อการขยายฐานลูกค้ารายย่อยให้เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้มีการพัฒนาช่องทางการจำหน่ายอย่างหลากหลาย ช่องทางการชำระเบี้ยประกันภัย และรูปแบบกรมธรรม์ใหม่ๆ
สำหรับแผนงานของบริษัทฯ ในปี 2548 ได้ตั้งเป้าหมายการเติบโตที่ 17 % หรือเบี้ยประกันภัยรับ 1,700 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นสัดส่วนเบี้ยประกันภัยรถยนต์ (Motor)ในสัดส่วน 55% และเบี้ยประกันภัยในประเภทอื่น (Non-Motor) ในสัดส่วน 45% พร้อมกันนี้มีแผนที่จะรุกขยายสำนักงานตัวแทนเพิ่มในทุกๆ ภาคทั่วประเทศ โดยปัจจุบันมีสำนักงานตัวแทนในกรุงเทพฯ และปริมณฑลจำนวน 15 แห่ง ภาคกลาง 20 แห่ง ภาคเหนือ 9 แห่ง ภาคอีสาน 17 แห่ง ภาคตะวันออก 9 แห่ง และภาคใต้ 28 แห่ง สำนักงานตัวแทนเหล่านี้นับเป็นอีกหนึ่งช่องทางจำหน่ายที่มีศักยภาพการขยายตัวของบริษัท
ส่วนผลการดำเนินงานในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมานั้น บริษัทฯมีเบี้ยประกันภัยรับรวม 730.56 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 10.63% สามารถแยกเป็นสัดส่วนตามแบบประกันภัย โดยเบี้ยประกันภัยเบ็ดเตล็ด 189.99 ล้านบาท เบี้ยประกันภัยรถยนต์ 395.63 ล้านบาท เบี้ยประกันอัคคีภัย 117.34 ล้านบาท และเบี้ยประกันภัยทางทะเล 27.60 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไร 103.97 ล้านบาท (ก่อนหักภาษีเงินได้) เพิ่มขึ้นถึง 70.30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไร (ก่อนหักภาษีเงินได้) 61.05 ล้านบาท
“ผลการดำเนินงานที่ผ่านมาในช่วง 5 เดือน นับเป็นตัวเลขที่น่าพอใจระดับหนึ่ง และคาดว่าในสิ้นปี 2548 จะสามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างแน่นอน” นางนวลพรรณ กล่าว--จบ--