กรุงเทพฯ--22 มิ.ย.--ซีพีเอฟ
คู่ค้าธุรกิจจำนวนมากของ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ตื่นตัวและร่วมมืออย่างเต็มที่เพื่อร่วมคิด ร่วมสร้าง สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน นำนโยบายการจัดหาอย่างยั่งยืนไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจ เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต สู่การเติบโตอย่างมั่นคงบนพื้นฐานความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบตลอดกระบวนการดำเนินธุรกิจ
หลังจากที่ซีพีเอฟประกาศและส่งมอบนโยบายด้านการจัดหาอย่างยั่งยืนและแนวปฏิบัติสำหรับคู่ค้าธุรกิจให้กับคู่ค้าธุรกิจหลัก (Critical Supplier) 3 กลุ่ม คือ กลุ่มวัตถุดิบหลักทางการเกษตร, กลุ่มเครื่องปรุง และกลุ่มบรรจุภัณฑ์รวม 150 บริษัท โดยเน้นหลักการดำเนินงาน 4 ด้าน ได้แก่ ด้านผลิตภัณฑ์และบริการ ด้านบุคลากร ด้านกระบวนการผลิต และด้านการดำเนินงาน ทำให้คู่ค้าหลายรายให้ความสนใจและร่วมปฏิบัติตามแนวนโยบายดังกล่าว
นายไพศาล เครือวงศ์วานิชรองกรรมการผู้จัดการบริหาร บริษัท กรุงเทพโปรดิ๊วส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทเข้าไปสนับสนุนความรู้แก่คู่ค้าทางธุรกิจในการดำเนินนโยบายการจัดหาอย่างยั่งยืนฯ ได้ครบทั้ง 4 ด้าน โดยคำนึงถึงเรื่องความปลอดภัยตลอดห่วงโซ่อาหารเนื่องจากเป็นปัจจัยสำคัญต้นทางก่อนส่งมอบผลิตภัณฑ์สู่ผู้บริโภค, การปฏิบัติต่อบุคลากรอย่างเป็นธรรมและเคารพในสิทธิมนุษยชน, ตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, ยึดหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี และการบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม และการปฏิบัติตามข้อบังคับและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อเพิ่มคุณภาพและประสิทธิภาพของแรงงานและการผลิตให้สูงขึ้น ขณะเดียวกันยังเป็นการลดค่าใช้จ่ายของคู่ค้าในการฝึกอบรมพัฒนาบุคลากร
“บริษัทมุ่งส่งเสริมให้ผู้ที่เกี่ยวข้องตลอดห่วงโซ่อุปทานเห็นความสำคัญและทำในสิ่งที่ถูกต้อง หากทุกภาคส่วนให้ความร่วมมือจะสามารถแก้ปัญหาได้ทั้งภาคเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจให้เกิดความยั่งยืนในระยะยาว” นายไพศาล กล่าว
นายไพศาล กล่าวต่อไปว่า โรงงานปลาป่นที่เป็นคู่ค้าของบริษัทปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมายอยู่แล้ว ซึ่งนโยบายฯ นี้จะครอบคลุมในเรื่องระเบียบการปฏิบัติให้ความสำคัญกับสวัสดิภาพของการทำงานบนเรือ นอกจากนี้ยังเข้าไปส่งเสริมให้เห็นความสำคัญของการรักษาสิ่งแวดล้อมทางทะเล เพราะหากทรัพยากรเหล่านั้นหมดไปจะไม่สามารถประกอบอาชีพได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นผลประโยชน์กลับคืนไปสู่คู่ค้า
หนึ่งในคู่ค้าที่ร่วมเดินหน้าตามแนวนโยบายด้านการจัดหาอย่างยั่งยืนกับซีพีเอฟ คือ นายสมชาย โชติวัฒนะพันธุ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยเจริญอาหารสัตว์ จำกัด กล่าวว่า ดำเนินธุรกิจโรงงานปลาป่นมากว่า 20 ปี และขายปลาป่นที่เป็นเศษเหลือ (by product) จากการผลิตผลิตภัณฑ์ปลาทูน่าให้กับซีพีเอฟ โดยให้ความสำคัญกับการจับปลาทูน่าอย่างถูกกฎหมาย เพราะปลาเหล่านี้ส่งออกไปขายยังต่างประเทศ จึงดำเนินตามมาตรฐานการส่งออกสากล ดังนั้นวัตถุดิบของเราจึงถูกต้องตามกฎหมายมาเป็นเวลานานแล้ว พร้อมกล่าวถึงนโยบายด้านการจัดหาอย่างยั่งยืนของซีพีเอฟว่า โรงงานได้ดำเนินการตามแนวนโยบายทั้ง 4 ด้านไปแล้ว โดยมีการปรับกลยุทธ์การบริหารงานทางธุรกิจ เพื่อเกิดความยั่งยืน
“เราดูแลคนงานของเราเป็นอย่างดี เนื่องจากแรงงานในปัจจุบันหายาก ทั้งทำการปรับปรุงบ้านพักให้มีห้องพักที่สะดวกสบาย มีสนามฟุตบอลให้ออกกำลังกาย มีศาลาให้พักผ่อน เพราะถ้าคนงานพึงพอใจก็จะอยู่กับเราได้นาน จึงดูแลเขาเป็นพิเศษ ส่วนเรื่องสิ่งแวดล้อมได้ให้ความสำคัญกับการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้คุ้มค่าจึงนำน้ำทิ้งมาบำบัดแล้วนำกลับมาใช้ภายในโรงงาน อาทิ เอามารดน้ำต้นไม้ สวนยางต่าง ๆ บนเนื้อที่กว่า 20 ไร่ เมื่อได้ลงมือทำแล้วจึงรู้ว่านโยบายการจัดหายั่งยืน สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับองค์กร เพื่อให้สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงอยากเชิญชวนผู้ประกอบการทุกคนหันมาให้ความสำคัญและปฏิบัติตามนโยบายฯ เพราะหากทำครบทุกด้านคิดว่าธุรกิจจะสามารถเติบโตไปได้อย่างยั่งยืน เนื่องจากจะช่วยลดความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ ทั้งยังเป็นมาตรฐานในการทำงานให้กับพนักงานอีกด้วย” นายสมชาย กล่าว
ด้านนายวิษณุ ศิริคุรุรัตน์ผู้จัดการปลาป่น บริษัท เซ้าท์อีสต์เอเชียน แพคเกจจิ้งแอนด์แคนนิ่ง จำกัด กล่าวถึงมุมมองในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนว่า บริษัทมองว่าการทำประมงและการใช้แรงงานที่ถูกต้องเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันแก้ไขปัญหา โดยร่วมกับซีพีเอฟ ทำระบบ IFFO หรือการทำประมงอย่างยั่งยืนเป็นบริษัทแรก ดังนั้นวัตถุดิบปลาป่นที่มาจากเศษเหลือของปลาทูน่าของบริษัทจึงมีเอกสารรับรองว่าได้มาจากการทำประมงอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
“บริษัทตั้งใจปฏิบัติตามนโยบายการจัดหาอย่างยั่งยืนของซีพี เพราะเป็นคู่ค้ากันมานาน 30-40 ปี เราจะต้องทำทุกอย่างให้ถูกต้องและอยู่ในระบบ เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจไปในทิศทางเดียวกัน เกิดความยั่งยืน และจะได้มีทรัพยากรไว้ให้รุ่นลูกรุ่นหลานได้ใช้ ซึ่งในส่วนของผลิตภัณฑ์จะเข้มงวดในการเลือกซื้อปลาที่ถูกต้องเข้ามา อาจจำกัดด้านปริมาณให้ลดลงแต่ผลิตภัณฑ์ที่ได้จะต้องมีคุณภาพและถูกต้องที่สุด นอกจากนี้ด้านบุคลากร เราได้ดูแลด้านสวัสดิการต่างๆ พร้อมปลูกจิตสำนึกให้คนงานรู้จักดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ต้องร่วมมือกัน และทำให้ถูกต้องตามกฎหมายในทุก ๆ ด้าน” นายสุทัศน์ บวรวณิชย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสเทิร์นปลาป่น จำกัด กล่าว
อย่างไรก็ตามซีพีเอฟย้ำว่าการขับเคลื่อนแผนงานบริหารความยั่งยืนในห่วงโซ่อุปทานจะเกิดขึ้นได้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากผู้ประกอบการโดยต้องหันมาดำเนินนโยบายการจัดหายั่งยืนทั้ง 4 ด้านอย่างจริงจังจะทำให้เกิดการร่วมกันบริหารคุณภาพสินค้าและบริการด้วยรับผิดชอบตลอดห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผู้บริโภค คู่ค้า และนักลงทุนในปัจจุบันให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก
นอกจากนี้นโยบายดังกล่าว ยังถือเป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างซีพีเอฟและคู่ค้าธุรกิจ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาวและการพัฒนาอย่างยั่งยืนร่วมกัน และยังเป็นแนวทางในการบริหารจัดการความเสี่ยง เสริมสร้างโอกาสทางธุรกิจตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน เชื่อมโยงศักยภาพ ขีดความสามารถทางการแข่งขัน ตลอดจนการมีส่วนร่วมดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อมร่วมกันระหว่างบริษัทและคู่ค้าธุรกิจ