กรุงเทพฯ--24 มิ.ย.--กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
วันนี้ (๒๔ มิ.ย.๕๘) เวลา ๑๐.๓๐ น. พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มอบโล่ประกาศเกียรติคุณและเงินรางวัลแก่ผู้สูงอายุที่ทำคุณประโยชน์ต่อสังคม ให้แก่ นางนิภา รัตนโสภณ และนายแก้ว ชุมรัมย์ ซึ่งเป็นผู้สูงอายุที่เป็นแบบอย่างในการดูแลรักษาสุขภาพของตนเอง มีจิตสาธารณะช่วยเหลือผู้อื่น และทำคุณประโยชน์ต่อสังคม ณ ห้องประชุมชั้น ๙ อาคารใหม่กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ สะพานขาว กรุงเทพฯ
พลตำรวจเอก อดุลย์ กล่าวว่า จากกรณีนางนิภา รัตนโสภณ อายุ ๗๐ ปี สมาชิกชมรมไทเก๊กชลบุรีรักสุขภาพได้ช่วยเหลือนางธัญญาภรณ์ สุดสวาท อายุ ๕๒ ปี เจ้าของร้านกาแฟหน้าสมาคมพัฒนาสุขภาพชลบุรีที่ถูกคนร้ายชิงทรัพย์ โดยนางนิภาใช้วิชามวยไทเก๊กช่วยจับตัวคนร้ายที่เป็นหญิง อายุ ๓๖ ปี และนำส่งตำรวจดำเนินคดีในข้อหาลักทรัพย์ และกรณีนายแก้ว ชุมรัมย์ อายุ ๙๕ ปี อดีตทหารพราน ที่ปั่นสามล้อถีบเป็นระยะทางกว่า๓ กิโลเมตร ไปตลาดบ้านโป่งจังหวัดราชบุรี เพื่อรับบริจาคอาหาร และนำไปแจกจ่ายให้แก่ชาวบ้านที่มีฐานะยากจน นั้น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) โดยกรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) ในฐานะที่เป็นหน่วยงานหลักที่ดูแลผู้สูงอายุทั่วประเทศ ได้ให้ความสำคัญกับผู้สูงอายุทุกคน โดยพร้อมจะขับเคลื่อนนโยบายของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุให้ดีขึ้น และดึงศักยภาพด้านดีของผู้สูงอายุออกมาเป็นตัวอย่างของคนในสังคม โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ขอมอบโล่เพื่อยกย่องเชิดชูและประกาศเกียรติคุณ พร้อมเงินรางวัลจำนวน ๕,๐๐๐ บาท ให้แก่นางนิภา รัตนโสภณ และนายแก้ว ชุมรัมย์ ที่เป็นผู้สูงอายุที่ทำความดี มีจิตสาธารณะ ช่วยเหลือและสร้างคุณประโยชน์ต่อสังคม รวมทั้งยังเป็นผู้สูงอายุที่มีศักยภาพที่มีสุขภาพแข็งแรง
"ผู้สูงอายุทั้งสองคน ล้วนเป็นผู้สูงอายุที่มีคุณค่า ซึ่งได้ใช้ศักยภาพความสามารถในการดูแลรักษาสุขภาพ ตนเองให้ดีและแข็งแรง และห่วงใยผู้อื่น เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน เป็นผู้มีจิตใจดีงามโดยเลือกทำในสิ่งที่เกิดประโยชน์ต่อผู้อื่นและสังคม ทั้งนี้ตนขอชื่นชมผู้สูงอายุทั้งสองคนที่ได้ทำความดีให้ผู้อื่นและสังคมโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน และขอให้ทุกคนในสังคมนำแบบอย่างดังกล่าวไปปฏิบัติในชีวิตประจำวันซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อตนเองและสังคมต่อไป" พลตำรวจเอก อดุลย์ กล่าวท้าย