กรุงเทพฯ--25 มิ.ย.--บลจ.กสิกรไทย
นายนาวิน อินทรสมบัติ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ. กสิกรไทย) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียยังมีแนวโน้มการเติบโตที่สดใส โดยปัจจัยสนับสนุนจะมาจากการดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศหลักๆ อาทิ จีน อินเดีย เกาหลีใต้ ที่คาดว่าจะมีความเป็นรูปธรรมชัดเจนเพิ่มขึ้นในปีนี้ รวมถึงอานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่จะส่งผลดีต่อเนื่องมายังประเทศในเอเชีย เนื่องจากพื้นฐานเศรษฐกิจส่วนใหญ่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก ประกอบกับแนวโน้มการอ่อนค่าของสกุลเงินในเอเชียจะส่งผลดีต่อกำไรของบริษัทที่ทำธุรกิจด้านส่งออก นอกจากนี้ราคาน้ำมันที่ยังอยู่ในระดับต่ำ จะช่วยลดต้นทุนให้กับกลุ่มประเทศในเอเชียซึ่งส่วนใหญ่มีการนำเข้าน้ำมัน ในขณะที่ปัจจัยภายนอกภูมิภาค จะมาจากสภาพคล่องในระบบที่ยังมีอยู่สูง จากการอัดฉีดเม็ดเงินของธนาคารกลางทั้งยุโรปและญี่ปุ่น ซึ่งจะช่วยให้เม็ดเงินไหลเข้าสู่ตลาดโลกรวมถึงในทวีปเอเชียด้วย
นายนาวินกล่าวเพิ่มเติมว่า "กรณีแรงกดดันต่อแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ที่กังวลว่าจะส่งผลทำให้เม็ดเงินไหลกลับเข้าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในมุมมองของบลจ.กสิกรไทยมองว่า จะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นเอเชียค่อนข้างจำกัด เนื่องด้วยปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจในเอเชียที่ยังคงแข็งแกร่ง ประกอบกับฐานเงินทุนสำรองของแต่ละประเทศที่มีอยู่ค่อนข้างสูง นอกจากนี้ ตลาดหุ้นเอเชียถือเป็นตลาดประเทศเกิดใหม่ที่มีอัตราการขยายตัวสูง รวมถึงระดับราคาหุ้นก็ยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นๆ ทำให้ตลาดหุ้นเอเชียมีความน่าสนใจและยังมีโอกาสเติบโตที่ดีในระยะยาว"
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ต้นปี 2558 ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นเอเชียมีการปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่น นำโดยตลาดหุ้นจีนที่ปรับตัวขึ้นสูงและรวดเร็ว จึงทำให้ตลาดเกิดการปรับฐานลงมาบ้างจากแรงเทขายทำกำไร นอกจากนี้ยังได้รับแรงกดดันจากกรณีความกังวัลเรื่องปัญหาหนี้กรีซและการระบาดของเชื้อไวรัสเมอร์ส (MERS) แต่เชื่อว่าจะเป็นปัจจัยที่เข้ามากระทบ ทำให้ตลาดเกิดความผันผวนในระยะสั้นเท่านั้น ผู้ลงทุนควรใช้ความระมัดระวังและอาจอาศัยจังหวะที่หุ้นปรับตัวลงนี้ เป็นโอกาสเข้าลงทุนในหุ้นเอเชียเพิ่มเติมได้ โดยปัจจุบัน บลจ.กสิกรไทย มีกองทุนที่ลงทุนในหุ้นเอเชีย ได้แก่ กองทุนเปิดเค เอเชียน สมอลเลอร์ หุ้นทุน (K-ASIA) ที่เน้นลงทุนในหุ้นเอเชียขนาดกลางและขนาดเล็ก ซึ่งมีแนวโน้มให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าหุ้นขนาดใหญ่ และยังมีโอกาสเติบโตเป็นหุ้นขนาดใหญ่ในอนาคต
กองทุน K-ASIA มีนโยบายลงทุนในหุ้นเอเชียผ่านกองทุนหลัก Templeton Asian Smaller Companies ซึ่งได้รับการจัดอันดับ 5 ดาวจาก Morningstar และบริหารจัดการโดย Franklin Templeton Investments หนึ่งในผู้จัดการกองทุนชั้นนำระดับโลก ปัจจุบันกองทุนให้น้ำหนักการลงทุนใน 3 ประเทศหลัก ได้แก่ เกาหลีใต้ 28%, อินเดีย 22% และจีน 20% (ข้อมูล ณ 31 พ.ค. 2558) โดยกองทุนหลักมุ่งเน้นการสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนระยะยาวในหุ้นบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีศักยภาพการเติบโตสูงในภูมิภาคเอเชีย อย่างไรก็ดี แม้จะมีการเน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็ก แต่ขนาดมูลค่าตลาด (Market Cap) เฉลี่ยของหุ้นส่วนใหญ่ที่กองทุนลงทุน จะอยู่ที่ประมาณ 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งก็ถือว่าค่อนข้างใหญ่เมื่อเทียบกับหุ้นในประเทศไทย
ด้านผลการดำเนินงานของกองทุน K-ASIA ตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2556 กองทุนมีการจ่ายปันผลรวมแล้วทั้งสิ้น 3 ครั้ง เป็นอัตรารวมทั้งสิ้น 0.85 บาทต่อหน่วย หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทนเงินปันผลเฉลี่ย 3% ต่อปี ส่วนผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปี ให้ผลตอบแทนที่ 16.18% และผลการดำเนินงานตั้งแต่ต้นปี ให้ผลตอบแทนที่ 10.25% (ข้อมูล ณ วันที่ 29 พ.ค. 2558)
ผู้ที่สนใจสามารถลงทุนในกองทุน K-ASIA ได้ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 5,000 บาท สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา หรือติดต่อ KAsset Contact Center 0 2673 3888