กรุงเทพฯ--30 มิ.ย.--ดีซี คอนซัลแทนส์ แอนด์ มาร์เก็ตติ้ง คอมมูนิเคชั่นส์
นาทีนี้คงไม่มีประเด็นไหนที่จะเป็นที่จับตามองของสาธารณชนมากไปกว่าข่าวยืนยันการพบผู้ติดเชื้อโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลางหรือ MERS (Middle East Respiratory Syndrome) รายแรกในประเทศไทย ภายหลังการแพร่ระบาดอย่างหนักในเกาหลีใต้ และรายงานพบผู้ติดเชื้อไวรัสเมอร์สทั้งในจีน มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ บ่งชี้ว่าโรคดังกล่าวได้เริ่มแผ่ลามเข้ามาในเอเชียแล้ว
เพราะก่อนหน้านี้การแพร่ระบาดของไวรัสเมอร์สส่วนใหญ่อยู่ในแถบตะวันออกกลาง โดยเฉพาะในซาอุดีอาระเบียซึ่งเป็นชาติแรกที่ไวรัสมรณะนี้ปรากฏตัวเป็นครั้งแรกในปี 2555 โดยเชื่อว่าต้นกำเนิดโรคมาจากอูฐและค้างคาว นอกจากนี้ยังพบผู้ป่วยในแถบยุโรปอีกด้วย รวมแล้วมีผู้ป่วยทั่วโลก 1,388 รายใน 26 ประเทศ เสียชีวิต 475 ราย ส่งผลให้ทั่วโลกตื่นตัวหันมาเพิ่มมาตรการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด
แม้ว่าคนทุกช่วงอายุสามารถติดเชื้อไวรัสเมอร์สได้ แต่ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ผู้สูงอายุและคนที่มีโรคประจำตัวอย่างเบาหวาน มะเร็ง ปอดอักเสบเรื้องรัง หอบหืด ไตวายเรื้อรัง จะมีอัตราเสี่ยงติดเชื้อ MERS-CoV สูงกว่าคนทั่วไปและมีแนวโน้มที่โรคจะแสดงอาการอย่างรุนแรง จนทำให้ระบบหายใจและการทำงานของอวัยวะสำคัญ เช่น ปอด ไต ล้มเหลวและเสียชีวิตในที่สุด โดยโรคนี้มีอัตราการเสียชีวิตประมาณร้อยละ 40
เหตุส่วนใหญ่ที่ทำให้ผู้คนตื่นกลัวก็เพราะว่าไวรัสเมอร์สติดต่อกันได้ง่าย จากการสัมผัส ไอจามจากคนสู่คน ที่สำคัญปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนหรือยารักษาจำเพาะที่จะช่วยป้องกันและรักษาโรคได้โดยตรง ทำได้เพียงรักษาประคับประคองไปตามอาการ จนกว่าภูมิต้านทานของผู้ป่วยจะพัฒนาถึงระดับที่สามารถต่อสู้และทำลายเชื้อได้เองเท่านั้น
ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา ประธานและกรรมการผู้จัดการ บริษัทเอเชียน ไฟย์โตซูติคอลส์ จำกัด (มหาชน) นักวิทยาศาสตร์ไทยคนแรกผู้คิดค้นการดูแลสุขภาพด้วยแนวคิดการสร้างภูมิสมดุล (Balancing Immunity) กล่าวว่า นอกเหนือจากมาตรการกินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือด้วยน้ำสบู่ ใช้หน้ากากอนามัยเมื่อมีอาการป่วยที่กระทรวงสาธารณสุขแนะนำให้ประชาชนปฏิบัติเพื่อป้องกันโรคแล้ว เรายังสามารถดูแลตัวเองจากภายในด้วยการปรับภูมิคุ้มกันร่างกายให้สมดุล เพราะในร่างกายของคนเรามีเม็ดเลือดขาวอยู่ประมาณ 20,000-55,000 ล้านเม็ด ถือเป็นกองทัพที่ยิ่งใหญ่มากที่ธรรมชาติสร้างขึ้นให้เรา เพื่อให้ร่างกายมีความเพียงพอที่จะต่อกรและเอาชนะโรคภัยได้ บนพื้นฐานแนวคิดของการใช้อาหารเป็นยาซึ่งเป็นภูมิปัญญาที่ได้รับการยอมรับมาแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
จุดนี้เองทำให้ศ.ดร.พิเชษฐ์ เห็นว่าการสร้างภูมิคุ้มกันให้สมดุลเรียกว่า "ภูมิสมดุล" (BIM: Balancing Immunity) มีความสำคัญอย่างยิ่ง ในการพิชิตไวรัสและโรคร้ายต่างๆ อันเป็นที่มาของการวิจัยพัฒนาสารสกัดจากพืชธรรมชาติ 5 ชนิด คือ มังคุด ถั่วเหลือง งาดำ ฝรั่ง และบัวบก ซึ่งเมื่อออกฤทธิ์เสริมกันจะมีผลต่อการเพิ่มระดับภูมิคุ้มกันในร่างกาย และไม่มีผลข้างเคียงอันตรายต่อผู้ใช้เนื่องจากเป็นสารสกัดจากพืชธรรมชาติ
จากผลการวิจัยของคณะวิจัย Operation BIM ซึ่งวิจัยร่วมกับศูนย์วิจัยเทคโนโลยีชีวการแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผลทดสอบกับอาสาสมัครปรากฏว่า ผู้ที่รับประทานสารสกัดนี้อย่างต่อเนื่องมีปริมาณเม็ดเลือดขาวซึ่งทำหน้าที่สร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย Th1,Th17 และ Th9 ถูกกระตุ้นเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเม็ดเลือดขาวชนิด Th17 ถูกกระตุ้นเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า
ทั้งนี้ เม็ดเลือดขาว Th17 จะทำหน้าที่เปรียบเสมือนเป็นทหารสื่อสาร ซึ่งไม่ได้มีหน้าที่กำจัดเชื้อโรคต่างๆ โดยตรง แต่จะไปกระตุ้นให้เซลล์เม็ดเลือดขาวเพชฌฆาตเพิ่มจำนวนขึ้น ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของภูมิคุ้มกันในการต่อต้านการติดเชื้อ ช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับโรคภัยและป้องกันการรุกรานของเชื้อโรคได้ดียิ่งขึ้น
ข้อมูลภูมิคุ้มกันวิทยาล่าสุด ระบุว่าวัคซีนจะมีประสิทธิภาพในการต่อต้านการติดเชื้อได้โดยการกระตุ้นเม็ดเลือดขาว Th17 ซึ่งเป็นที่ทราบกันว่ามีบทบาทในการสร้างภูมิต้านทาน ด้วยเหตุนี้คณะนักวิจัยบริษัทเอเชียน ไฟย์โตซูติคอลส์ จำกัด (มหาชน) จึงได้พัฒนาสารสกัดจากพืชที่กินได้เพื่อใช้เสมือนวัคซีนสร้างภูมิต้านการติดเชื้อได้หลากหลายชนิด เพื่อใช้สร้างภูมิคุ้มกันต่อต้านการติดเชื้อจากแบคทีเรีย รา และไวรัส
ผลิตภัณฑ์นี้จึงทำหน้าที่เสมือนเป็นวัคซีนธรรมชาติที่เข้าไปกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิต้านเชื้อแบคทีเรีย รา และไวรัสได้หลากหลายชนิด ทำลายเซลล์มะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลิตภัณฑ์ลักษณะเดียวกันก่อนหน้านี้ประสบความสำเร็จในการใช้เพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งนับร้อยรายในประเทศไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย จีน และ ประเทศอื่นๆ ทั่วโลก
ศ.ดร.พิเชษฐ์ระบุอีกว่า การสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อป้องกันและดูแลสุขภาพด้วยแนวคิดนี้ยังสามารถใช้ได้กับการติดเชื้อไวรัสที่ทำให้เป็นโรคร้ายแรงอื่นๆ ได้ด้วย นับเป็นมิติใหม่ของการดูแลสุขภาพและป้องกันโรคจากภายในอย่างแท้จริง ควบคู่ไปกับการรับประทานอาหารดีมีประโยชน์ ออกกำลังกายอย่างพอเพียง เพื่อให้ใช้ชีวิตได้อย่างเป็นสุขและสมดุล