กรุงเทพฯ--6 ก.ค.--NBTC Rights
ในการประชุมคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) ครั้งที่ 14/2558 ช่วงบ่ายวันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม 2558 มีวาระสำคัญที่น่าจับตาหลายประเด็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่สำนักงาน กสทช. เตรียมเสนอร่างประกาศหลักเกณฑ์การประมูลคลื่นความถี่ย่าน 1800 MHz ให้ที่ประชุม กทค. พิจารณา รวมทั้งมีวาระการนำส่งเงินรายได้ของ CAT และ TOT เข้ารัฐ วาระเรื่องร้องเรียนจากผู้บริโภคที่หลายกรณีมีอุทาหรณ์ที่น่าสนใจ และยังมีวาระเพื่อทราบที่น่าสนใจคือเรื่องการจัดทำเอกสารเผยแพร่เรื่องผลกระทบจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า นอกจากนั้น ยังมีวาระที่ตกค้างจากการพิจารณาในการประชุมครั้งที่แล้ว คือเรื่องแนวทางการนำคลื่นความถี่ย่าน 2.3 GHz และ 2.6 GHz เพื่อใช้สำหรับประกอบกิจการโทรคมนาคม และเรื่องรายงานเกี่ยวกับการครอบงำกิจการโดยคนต่างด้าว ส่วนวาระร่างประกาศเรื่องการกระทำที่น่าจะเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคมฯ ปรากฏว่าในการประชุมครั้งก่อนมีการถอนวาระนี้ออกไปโดยที่ประชุมยังไม่ได้พิจารณา ทั้งที่ร่างประกาศฉบับนี้ผ่านการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะมาตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม 2558 และได้รับการบรรจุเป็นวาระการประชุมมาแล้วถึง 2 ครั้ง แต่ก็ยังไม่ผ่านการพิจารณา ซ้ำในการประชุมครั้งนี้กลับไม่มีการบรรจุวาระดังกล่าวกลับเข้ามาแต่อย่างใด
วาระพิจารณาร่างประกาศหลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่สำหรับกิจการโทรคมนาคมย่าน 1800 MHz
วาระนี้นับเป็นประเด็นร้อนที่ทั้งฝ่ายผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมและผู้บริโภคที่ใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่เฝ้ารอและจับตาอย่างลุ้นระทึกว่า หลักเกณฑ์การจัดประมูลและเงื่อนไขการให้อนุญาตใช้คลื่นความถี่ย่าน 1800 MHz นี้จะเป็นอย่างไร
ทั้งนี้ สำหรับคลื่นที่จะมีการนำออกประมูลจะมีขนาด 2 X 12.5 MHz จำนวน 2 ชุด โดยประเด็นสำคัญในเรื่องการกำหนดมูลค่าและราคาตั้งต้นในการประมูล ยังคงอ้างอิงมูลค่าและราคาตามที่สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) ได้เคยเสนอไว้ในการเตรียมการจัดประมูลคลื่นในปีที่แล้ว ดังนั้น ชุดคลื่นที่จะมีการนำออกประมูลในครั้งนี้ ซึ่งจะมีระยะเวลาการอนุญาต 18 ปี จึงมีมูลค่าประมาณ 16,571 ล้านบาทต่อ 1 ชุดคลื่นความถี่ ขณะที่การกำหนดราคาตั้งต้นจะมีการปรับลดมูลค่าคลื่นลง 30 %เหลือ 11,600 ล้านบาทต่อ 1 ชุดคลื่นความถี่ อย่างไรก็ดี ในการเตรียมการจัดประมูลหนนี้มีการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์ข้อกำหนดว่า หากมีผู้เข้าร่วมประมูลน้อยกว่าหรือเท่ากับชุดคลื่นความถี่ที่นำออกประมูล ก็จะกำหนดราคาตั้งต้นเท่ากับมูลค่าคลื่นที่มีการประเมินไว้ ซึ่งหลักเกณฑ์นี้คาดว่าจะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงเรื่องไม่มีการแข่งขันในการประมูลคลื่นความถี่ไปได้ แต่ถึงกระนั้นก็มีข้อสังเกตว่า ในการประเมินมูลค่าคลื่นของ ITU ในการเตรียมการจัดประมูลหนที่แล้ว ได้รับเสียงวิจารณ์อย่างหนาหูว่าประเมินมูลค่าคลื่นไว้ต่ำเกินไป เพราะหากเปรียบเทียบกับมูลค่าคลื่นย่าน 1800 MHz ของประเทศแถบเอเชียแปซิฟิกหลังปี 2553 ซึ่งเป็นปีที่มีการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในระบบ 4G นั้น มูลค่าคลื่นย่าน 1800 MHz ที่จะนำออกประมูลในครั้งนี้ควรอยู่ในราว 20,100 ล้านบาทต่อ 1 ชุดคลื่นความถี่
สำหรับเรื่องเงื่อนไขความครอบคลุมโครงข่าย หลักเกณฑ์ที่นำเสนอให้ที่ประชุมพิจารณาในครั้งนี้ยังคงกำหนดไว้ที่ 40 % ของประชากรภายใน 4 ปี ซึ่งถือว่ากำหนดไว้ค่อนข้างต่ำและอาจทำให้การใช้งานคลื่นไม่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากถูกใช้งานในพื้นที่จำกัดและไม่ครอบคลุมประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ
ส่วนการเพิ่มเติมเงื่อนไขข้อกำหนดเรื่องการถือครองคลื่นสูงสุด (Overall Spectrum Cap) ไว้ที่ 60 MHz นั้น พบว่าขาดการประเมินอย่างครบถ้วนว่าปัจจุบันคลื่นความถี่ที่สามารถนำมาใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่นั้น มีผู้ให้บริการรายใดครอบครองอยู่บ้าง เพราะที่สำนักงาน กสทช. ประเมินเป็นการพิจารณาเพียงคลื่นย่าน 800 MHz, 900 MHz, 1800 MHz, และ 2100 MHz เท่านั้น โดยมิได้พิจารณาถึงการถือครองคลื่นย่าน 2300 MHz และ 2600 MHz ร่วมด้วย ซึ่งเป็นคลื่นความถี่ย่านที่จะมีการจัดสรรในอนาคต ดังนั้นหากขาดความชัดเจนในเรื่องนี้ ก็อาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมโทรคมนาคมโดยภาพรวมได้
วาระการนำส่งเงินรายได้ของ CAT และ TOT เข้ารัฐ
ตาม พ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ. 2553 มาตรา 83 วรรคสาม กำหนดว่า เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาสามปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัติฉบับนี้มีผลบังคับใช้ รัฐวิสาหกิจมีหน้าที่ต้องนำรายได้จากผลประกอบการในส่วนที่ได้รับจากการให้อนุญาต สัมปทาน หรือสัญญาที่ให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ หลังหักใช้จ่าย ให้นำส่งเงินจำนวนดังกล่าวกับ กสทช. เพื่อนำส่งเป็นรายได้ของแผ่นดินต่อไป ซึ่งกำหนด 3 ปีนั้นครบแล้วเมื่อ 20 ธันวาคม 2556 แต่กระทั่งปัจจุบันทั้ง บมจ. กสท โทรคมนาคม (CAT) และ บมจ. (TOT) ก็ยังมิได้นำส่งเงินรายได้มายังสำนักงาน กสทช. แต่อย่างใด
โดยก่อนหน้านี้ สำนักงาน กสทช. เคยทำหนังสือถึงกระทรวงการคลังเมื่อธันวาคม 2556 เพื่อสอบถามว่า กสทช. มีหน้าที่ต้องตรวจสอบรายได้ที่รัฐวิสาหกิจทั้งสองรายต้องนำส่งด้วยหรือไม่ ซึ่งกระทรวงการคลังมีหนังสือตอบกลับว่า กระทรวงการคลังมีหน้าที่เพียงกำหนดหลักเกณฑ์การหักค่าใช้จ่าย ส่วนขั้นตอนดำเนินการตามกฎหมาย รัฐวิสาหกิจมีหน้าที่นำส่งรายได้ให้ กสทช. และ กสทช. มีหน้าที่นำส่งเงินจำนวนดังกล่าวเป็นรายได้แผ่นดินต่อไป รวมทั้ง กสทช. มีหน้าที่ในการตรวจสอบการนำส่งรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายด้วย อย่างไรก็ตาม สำนักงาน กสทช. พยายามยืนกรานมาโดยตลอดว่า เจตนารมณ์ของกฎหมายระบุให้นำส่งเงินผ่าน กสทช. เท่านั้น อันหมายถึง กสทช. จะรับและนำส่งให้กระทรวงการคลังในลักษณะส่งผ่าน โดยไม่อาจตรวจสอบความถูกต้องของรายได้และค่าใช้จ่ายจากผลประกอบการดังกล่าวแต่อย่างใด พร้อมทั้งอ้างความเห็นของคณะทำงานเพื่อทำหน้าที่กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการหักค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น ซึ่งมีผู้แทนจากกระทรวงการคลัง กรมบัญชีกลาง และสำนักงาน กสทช. ร่วมด้วย ว่าควรเป็นหน้าที่ของกระทรวงการคลังที่ต้องตรวจสอบ ในการประชุม กทค. เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2557 ที่ประชุมจึงมีมติให้สำนักงาน กสทช. ทำหนังสือสอบถามกระทรวงการคลังอีกครั้งถึงความชัดเจนของบทบาทและอำนาจหน้าที่ แต่หนนี้ยังไม่มีหนังสือตอบกลับจากกระทรวงการคลัง สุดท้ายเรื่องนี้จึงยังคงสาละวนอยู่กับประเด็นที่ว่าหน่วยงานใดมีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบเงินรายได้จำนวนดังกล่าวกันแน่ แต่ยังไม่ได้มีการพิจารณาถึงว่า หากรัฐวิสาหกิจทั้งสองรายไม่นำส่งเงินรายได้ตามกฎหมาย หน่วยงานใดจะเป็นฝ่ายไล่เบี้ย ซึ่งในขณะนี้ก็ล่วงเลยเวลามาปีกว่าแล้วที่ทั้ง บมจ. กสท โทรคมนาคม และ บมจ. ทีโอที ยังมิได้นำส่งเงินรายได้เข้ารัฐตามกฎหมายแม้สักบาทเดียว
วาระการจัดทำเอกสารเผยแพร่เรื่องผลกระทบจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
แม้วาระนี้เป็นเพียงวาระเพื่อทราบ แต่ก็น่าจับตาอย่างมาก เนื่องจากที่ผ่านมามีประชาชนในหลายพื้นที่คัดค้านการตั้งสถานีวิทยุคมนาคมในชุมชน เพราะหวั่นเกรงว่าจะได้รับผลกระทบจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่แผ่ออกมาจากเสาส่งสัญญาณ ดังนั้นสำนักงาน กสทช. จึงได้จัดทำเอกสารเผยแพร่เรื่อง "สนามแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่วิทยุและสุขภาพ คำถามที่พบบ่อย" เพื่อให้ความรู้กับสาธารณะ
แต่ข้อน่าสังเกตคือเอกสารชิ้นนี้มีความพยายามโน้มน้าวว่า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากเสาส่งสัญญาณโทรคมนาคม และโทรศัพท์เคลื่อนที่ไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพ หรือไม่มีหลักฐานเชื่อมโยงว่ามีผลกระทบต่อสุขภาพ พร้อมทั้งปฏิเสธความจำเป็นของการใช้หลักมาตรการป้องกันไว้ก่อนเพื่อลดระดับการสัมผัสพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าจากสถานีวิทยุคมนาคม ทั้งที่การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับผลกระทบของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าต่อสุขภาพของมนุษย์ยังเป็นข้อถกเถียงกันในทางวิชาการ คือมีทั้งหลักฐานที่เชื่อมโยงว่ามีผลกระทบต่อสุขภาพและไม่มีหลักฐานที่เชื่อมโยง อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันปรากฏหลักฐานทางวิชาการใหม่ๆ เพิ่มขึ้นด้วยซ้ำว่า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามีผลกระทบต่อสัตว์ทดลองและสุขภาพของมนุษย์ จนกระทั่งเมื่อปี 2554 องค์การอนามัยโลกได้ยกระดับให้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นปัจจัยก่อมะเร็งประเภท 2B คือเป็นตัวกระทำที่อาจเป็นไปได้ในการก่อมะเร็งในมนุษย์ หรือกล่าวอย่างง่ายๆ ว่าองค์การอนามัยโลกยอมรับแล้วว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ก่อมะเร็ง
ในขณะที่เมื่อราวสองสัปดาห์ก่อนก็ปรากฏข่าวว่าคณะกรรมาธิการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร ประเทศแคนาดา ได้เผยแพร่รายงาน Radiofrequency Electromagnetic Radiation and the Health of Canadians ซึ่งระบุว่า คลื่นวิทยุจากอุปกรณ์สื่อสารไร้สายทั้งหลาย เช่น โทรศัพท์เคลื่อนที่ ไวไฟ อาจเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็ง ปัญหาการสืบพันธุ์ และความบกพร่องของสมองในด้านการเรียนรู้ หรือออทิสซึ่ม พร้อมมีข้อแนะนำว่าในการเผชิญกับเรื่องนี้ควรใช้หลักป้องกันไว้ก่อน ซึ่งครอบคลุมทั้งเรื่องที่ว่าควรมีการศึกษาเกี่ยวกับผลกระทบของคลื่นวิทยุการสื่อสารในแง่มุมต่างๆ ให้จริงจังมากขึ้น รวมทั้งต้องมีการสื่อสารให้สังคมเกิดความตื่นตัวและตระหนักรู้ถึงความเสี่ยงและวิธีลดความเสี่ยง โดยเฉพาะสำหรับกลุ่มคนที่มีความอ่อนไหวอย่างเช่น หญิงตั้งครรภ์ ทารก เด็ก เป็นต้น ดังนั้นเอกสารเผยแพร่ที่สำนักงาน กสทช. เตรียมตีพิมพ์เผยแพร่ดูจะสวนทางอย่างสิ้นเชิงกับเอกสารชิ้นดังกล่าวของรัฐสภาแคนาดา
เข้าใจว่าการจัดทำเอกสารเผยแพร่เรื่อง "สนามแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่วิทยุและสุขภาพ คำถามที่พบบ่อย" ของสำนักงาน กสทช. มีวัตถุประสงค์เพื่อโน้มน้าวให้ประชาชนทั่วไปคลายกังวลถึงผลกระทบจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า แต่วิธีที่ถูกต้องซึ่งสำนักงาน กสทช. ควรทำคือการนำเสนอความจริง เพราะการนำเสนอข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนรอบด้านหรือการพยายามปกปิดความจริงบางส่วนนั้น ไม่เพียงแต่จะทำให้มีเสียงก่นด่าตามมาจากผู้ที่ไม่เห็นด้วย อันจะทำให้เกิดความไม่เชื่อถือหรือวิกฤตศรัทธาได้ อีกทั้งยังทำให้สังคมตั้งอยู่ในความประมาทและขาดโอกาสในการป้องกันตัวเองจากความเสี่ยงอีกด้วย
วาระเรื่องร้องเรียนจากผู้บริโภค
ในการประชุม กทค. ครั้งที่ 14/2558 มีกรณีเรื่องร้องเรียนจากผู้บริโภคที่นำเสนอให้ที่ประชุมตัดสินทั้งสิ้น 10 วาระ โดยกรณีที่น่าสนใจและสามารถเป็นแนวปฏิบัติให้กับผู้บริโภคได้ คือกรณีผู้บริโภครายหนึ่งไม่สามารถใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ตามปกติ โดยสามารถโทรออกและรับสายได้เพียง 5-20 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น เมื่อผู้บริโภคร้องเรียนเรื่องดังกล่าวมาที่สำนักงาน กสทช. และบริษัทที่เป็นผู้ให้บริการไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเหตุขัดข้องเกิดจากสาเหตุความผิดของผู้ใช้บริการหรือของผู้ให้บริการ ในเรื่องนี้ทางคณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคด้านกิจการโทรคมนาคมจึงมีมติผู้ให้บริการไม่มีสิทธิ์เรียกเก็บค่าบริการอันเกิดจากปัญหาคุณภาพสัญญาณไม่ได้มาตรฐาน และผู้บริโภคมีสิทธิ์ยกเลิกบริการ
อีกกรณีเป็นเรื่องผู้บริโภคสมัครใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่โปรโมชั่นชำระค่าบริการล่วงหน้า 599 บาทต่อเดือน โทรฟรี 250 นาที และรับสิทธิแลกซื้อโทรศัพท์เคลื่อนที่ในราคาพิเศษ กำหนดต้องใช้แพ็คเกจดังกล่าวเป็นระยะ 1 ปี แต่ในระหว่างนั้นผู้บริโภคมีความประสงค์ต้องการเปลี่ยนแปลงโปรโมชั่นในราคาที่ถูกลง กรณีนี้เมื่อมีการร้องเรียนมายังสำนักงาน กสทช. คณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคด้านกิจการโทรคมนาคมวินิจฉัยว่า ผู้บริโภคมีสิทธิเปลี่ยนโปรโมชั่นได้ แต่ต้องชำระส่วนต่างค่าตัวเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ตามสัญญา โดยให้คำนวณจากราคาเครื่องซึ่งเป็นราคาจริงตามท้องตลาดและคิดราคาตามระยะเวลาการใช้งานที่เหลือตามสัญญา
หมายเหตุ ส่วนวาระเรื่องแนวทางการนำคลื่นความถี่ย่าน 2.3 GHz และ 2.6 GHz เพื่อใช้สำหรับประกอบกิจการโทรคมนาคม วาระรายงานเกี่ยวกับการครอบงำกิจการโดยคนต่างด้าว รวมถึงวาระร่างประกาศเรื่องการกระทำที่น่าจะเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคมฯ ที่มีการถอนออกไปและยังไม่ได้บรรจุกลับเข้ามานั้น สามารถติดตามอ่านได้การจับตาวาระครั้งก่อนหน้านี้ที่ http://nbtcrights.com/agenda/5268