กรุงเทพฯ--8 ก.ค.--ปตท.
นายสุรงค์ บูลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า นับตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2558 เป็นต้นมา งานพัฒนาตลาดและกลยุทธ์ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (เอ็นจีวี) ได้มาอยู่ภายใต้การบริหารงานของกลุ่มธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อให้เป็นไปตามโครงสร้างการบริหารของ ปตท. ที่มุ่งเน้นให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งในงานบริการและบริหารสินทรัพย์ของระบบจัดส่งก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ ซึ่งขณะนี้มีสถานีบริการเอ็นจีวีทั่วประเทศเพิ่มเป็น 498 แห่งแล้ว พร้อมรองรับให้บริการแก่ผู้ใช้เอ็นจีวีทุกราย โดยสถานีบริการเอ็นจีวีในเขตภาคใต้ตอนล่างนั้น ไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การหยุดซ่อมบำรุงของแหล่งก๊าซฯ เจดีเอ ในวันที่ 19-23 กรกฎาคม ศกนี้ แต่อย่างใด
ทั้งนี้ ตามปกติสถานีก๊าซธรรมชาติหลักจะนะจะรับจากแหล่งก๊าซฯ เจดีเอ เอ-18 ในปริมาณ 190 ตันต่อวัน เพื่อจ่ายก๊าซเอ็นจีวีให้แก่สถานีบริการเอ็นจีวี 14 แห่ง ใน 3 จังหวัดพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง คือ จ.สุราษฎร์ธานี จ.นครศรีธรรมราช และ จ.สงขลา ประกอบด้วย สถานีนอกแนวท่อ 13 แห่ง และสถานีแนวท่อ 1 แห่ง โดยในช่วงที่แหล่งก๊าซฯ เจดีเอ เอ-18 หยุดซ่อมบำรุง นั้น ปตท. ได้เตรียมความพร้อมโดยใช้ก๊าซธรรมชาติที่สำรองไว้ในท่อส่งก๊าซธรรมชาติ (Line Pack) เพื่อจ่ายให้สถานีบริการเอ็นจีวีในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งไม่มีผลกระทบต่อปริมาณจำหน่ายและต้นทุนการผลิตแต่อย่างใด จึงมั่นใจได้ว่าจะมีก๊าซเอ็นจีวีให้ผู้ใช้รถสามารถใช้ได้อย่างเพียงพอตามปริมาณการใช้ในช่วงปกติ
ปตท. ยังคงเดินหน้าแผนการพัฒนาสถานีบริการเอ็นจีวีตามเป้าหมายที่ได้วางไว้ เพื่อให้ผู้ใช้บริการได้รับความสะดวกเพิ่มขึ้น ซึ่งเชื่อว่าจะทยอยเปิดให้บริการในพื้นที่ต่างๆ ได้ตามลำดับ นายสุรงค์ กล่าวเสริมในตอนท้าย