กรุงเทพฯ--13 ก.ค.--พีอาร์ดีดี
นายสมิทธ์ พนมยงค์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมจ่ายเงินปันผลกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) พร้อมกันจำนวน 3 กองทุนสำหรับผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม 2557 - วันที่ 30 มิถุนายน 2558 ประกอบด้วยกองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาวปันผล 70/30 (SCBLT1) กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาวอินเตอร์ (SCBLT4) และกองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาวทาร์เก็ต (SCBLTT) โดยจะจ่ายปันผลในอัตราเท่ากันทั้ง 3 กองทุนคือ 0.20 บาทต่อหน่วยลงทุน ซึ่งได้จ่ายระหว่างกาลไปแล้วเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2558 หน่วยละ 0.10 บาท คงเหลือจ่ายในงวดนี้หน่วยละ 0.10 บาท โดยมีกำหนดจ่ายเงินให้กับผู้ถือหน่วยในวันที่ 21 กรกฎาคม 2558 นี้
นายสมิทธ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมา กองทุน LTF ทั้ง 3 กองทุนมีผลการดำเนินงานอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ โดยกองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาวปันผล 70/30 (SCBLT1) เน้นลงทุนหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่มีนโยบายการจ่ายปันผลอยางสม่ำเสมอเฉลี่ยในปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 และไม่เกินร้อยละ 70 ของมูลค่าทรัพย์สินของกองทุนรวม ครั้งนี้นับเป็นการจ่ายปันผลครั้งที่ 16 โดยที่ผ่านมาได้จ่ายเงินปันผลไปแล้วเป็นจำนวน 3.5150 บาทต่อหน่วย นับตั้งแต่วันที่จ่ายปันผลครั้งแรกเมื่อตุลาคม2548
กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาวอินเตอร์ (SCBLT4) จะเน้นลงทุนในหุ้นสามัญที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่มีพื้นฐานดีมั่นคงและมีแนวโน้มเจริญเติบโตสูงไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินของกองทุนรวม และมีนโยบายลงทุนในต่างประเทศไม่เกินกว่าร้อยละ35 ของมูลค่าทรัพย์สินของกองทุนรวม ครั้งนี้ถือเป็นการจ่ายครั้งที่ 8 โดยที่ผ่านมาได้จ่ายเงินปันผลไปแล้วเป็นจำนวน 1.75 บาทต่อหน่วย นับตั้งแต่วันที่จ่ายปันผลครั้งแรกเมื่อพฤษภาคม 2551
ส่วนกองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาวทาร์เก็ต (SCBLTT) ที่เน้นลงทุนในหุ้นสามัญที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่มีพื้นฐานดี มั่นคง และมีแนวโน้มเจริญเติบโตสูง ไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินของกองทุนรวม ครั้งนี้เป็นการจ่ายปันผลครั้งที่ 10 โดยที่ผ่านมาได้จ่ายเงินปันผลไปแล้วเป็นจำนวน 2.40 บาทต่อหน่วย นับตั้งแต่วันที่จ่ายปันผลครั้งแรกเมื่อพฤษภาคม 2551
สำหรับคำแนะนำการลงทุนในกองทุนรวม LTF เนื่องจากปัจจุบันตลาดอยู่ในสภาวะปรับฐาน โดยสาเหตุหลักเกิดจากการขาดปัจจัยหนุนของภาครัฐที่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการลงทุนเป็นผลให้เศรษฐกิจเกิดการชะลอตัว โดยนักวิเคราะห์ยังทยอยปรับลดเป้าหมายผลกำไรของตลาดอยู่ในช่วงนี้ จึงเห็นว่านักลงทุนควรรอจังหวะที่ตลาดปรับตัวลงแล้วจึงค่อยทยอยการลงทุน ทั้งนี้ยังเชื่อมั่นว่าแนวโน้มเศรษฐกิจปีหน้าน่าจะดีขึ้น อันเกิดจากการนำงบประมาณของภาครัฐมาใช้ซึ่งจะเป็นปัจจัยหลักที่จะทำให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ดีขึ้น