กรุงเทพฯ--17 ก.ค.--สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน
คตง. ดำเนินนโยบายการตรวจเงินแผ่นดินเชิงรุก ล่าสุดมีมติเห็นชอบให้จัดตั้ง "สำนักตรวจสอบการจัดเก็บรายได้" คาดใช้เป็นเครื่องมือป้องปรามการทุจริตคอร์รัปชันและเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ช่วยเพิ่มรายได้แผ่นดิน ด้านผู้ว่าฯ สตง. รับลูก ประกาศเส้นตาย "3 เดือน" ให้โอกาสผู้มีหน้าที่เสียภาษีมาชำระภาษีที่ค้างชำระให้ครบถ้วนก่อนลุยปูพรมตรวจสอบเข้ม พร้อมชี้หากพบการกระทำผิดทั้งในส่วนของผู้มีหน้าที่เสียภาษีและเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบจะดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดต่อไป
ทั้งนี้ การจัดตั้ง "สำนักตรวจสอบการจัดเก็บรายได้" ดังกล่าวถือเป็นการดำเนินมาตรการที่ต่อเนื่องและเป็นรูปธรรมมากขึ้น หลังจากที่ก่อนหน้านี้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้มีหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ปลัดกระทรวงการคลัง และอธิบดีกรมสรรพากร ขอให้กรมสรรพากรใช้ มาตรา 49 แห่งประมวลรัษฎากร ในการประเมินภาษีจากมูลค่าทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นของนักการเมือง ข้าราชการระดับสูง และนักธุรกิจที่ร่ำรวยผิดปกติ ตลอดจนให้เร่งรัดติดตามหนี้ที่ผู้เสียภาษีค้างชำระเป็นวงเงินประมาณ 130,000.- ล้านบาท
ศาสตราจารย์พิเศษชัยสิทธิ์ ตราชูธรรม ประธานกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน แถลงว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่ประชุมคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) ได้มีมติเห็นชอบให้มีการปรับปรุงโครงสร้างส่วนราชการภายในของ สตง. โดยจัดตั้ง "สำนักตรวจสอบการจัดเก็บรายได้" ขึ้นใหม่ ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ที่สำคัญตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. 2542 มาตรา 39 (2) กล่าวคือ ตรวจสอบการจัดเก็บภาษีอากร ค่าธรรมเนียม และรายได้อื่นของหน่วยรับตรวจ และแสดงความเห็นว่าเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ หรือมติคณะรัฐมนตรี หรือไม่ รวมถึงตรวจสอบการประเมินภาษีอากร การจัดเก็บค่าธรรมเนียม และรายได้อื่นที่หน่วยรับตรวจจัดเก็บด้วย
"การตรวจสอบการจัดเก็บรายได้เป็นลักษณะงานตรวจสอบด้านหนึ่งของ สตง. ซึ่งที่ผ่านมา สตง. เน้นการตรวจสอบการใช้จ่ายเงินแผ่นดิน (ด้านรายจ่าย) กอปรกับภารกิจดังกล่าวอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของสำนักตรวจสอบการเงิน จึงอาจจะมีข้อจำกัดบางประการในการปฏิบัติงาน แต่นับจากนี้เป็นต้นไป สตง. จะให้ความสำคัญกับการตรวจสอบการจัดเก็บรายได้ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ ตลอดจนหน่วยงานอื่น ของรัฐทุกแห่ง ควบคู่ไปกับการตรวจสอบการใช้จ่ายเงินให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ คุ้มค่า และตอบสนอง
ต่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและประชาชนตามนโยบายการตรวจเงินแผ่นดินของ คตง. โดยคาดว่าหลังจากที่มีการบรรจุบุคลากรตามกรอบอัตรากำลังและเริ่มดำเนินการตรวจสอบ พร้อมเร่งผลักดันให้มีการใช้มาตรการทางภาษีอย่างจริงจังแล้วก็จะทำให้รัฐมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีอากร ค่าธรรมเนียม และรายได้อื่นเพิ่มขึ้น ซึ่งนอกจากจะช่วยลดปัญหาการขาดดุลงบประมาณแล้ว ยังถือเป็นเครื่องมือหนึ่งในการป้องปราม การทุจริตคอร์รัปชันอีกด้วย" ประธานกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน กล่าว
นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน กล่าวว่า การตรวจสอบการจัดเก็บรายได้ของ สตง. จะดำเนินการในสองมิติคู่ขนานกันไป ทั้งในส่วนของการป้องปรามการกระทำผิดที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และการเร่งรัดการจัดเก็บภาษีอากร ค่าธรรมเนียม และรายได้อื่น ที่ยังคงค้างชำระในอดีต โดยในเบื้องต้น สตง. จะประสานกับหน่วยงานที่มีหน้าที่จัดเก็บรายได้ โดยเฉพาะกรมสรรพากร กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อชี้แจงทำความเข้าใจเกี่ยวกับกรอบแนวทางการตรวจสอบของ สตง.
"ในระหว่างดำเนินการจัดตั้งทีมผู้ตรวจสอบและวางแผนการตรวจสอบ สตง. จะเปิดโอกาสให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีแสดงความสุจริตใจโดยมาชำระภาษีที่ค้างชำระให้ครบถ้วนภายใน 3 เดือน หลังจากนั้น สตง. จะสุ่มตรวจสอบการจัดเก็บภาษีอากร ค่าธรรมเนียม และรายได้อื่น พร้อมตรวจสอบการประเมินภาษีอากรของหน่วยงานจัดเก็บรายได้อย่างเข้มข้น หากพบว่ามีการจัดเก็บไม่ครบถ้วนก็จะแจ้งให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการเรียกให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีมาชำระภาษี ค่าเบี้ยปรับ พร้อมดำเนินคดีตามกฎหมายกับผู้ที่หลีกเลี่ยงการเสียภาษี ในขณะเดียวกัน หากพบว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐปล่อยปละละเลย ไม่เร่งรัดการจัดเก็บภาษีให้ครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด หรือประเมินภาษีต่ำกว่าความเป็นจริงก็จะดำเนินการสอบสวนความผิดทางวินัยการเงินและการคลังเพื่อลงโทษปรับทางปกครองและดำเนินคดีอาญาตามกฎหมายโดยเคร่งครัดกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต่อไป" ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน กล่าว
กลุ่มประชาสัมพันธ์และประสานราชการ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน โทร. 0 2618 5755