กรุงเทพฯ--21 ก.ค.--ไอทูซี คอมมิวนิเคชั่นส์
มูลนิธิสายใจไทยฯ ลงนามในบันทึกข้อตกลงกับกลุ่ม KTIS มอบหมายโรงงานน้ำตาลไทยเอกลักษณ์ ดูแลศูนย์เรียนรู้การเพาะปลูกอ้อย และจัดทำแปลงสาธิตบนพื้นที่ 50 ไร่ ในนิคมสหกรณ์สวรรคโลก จ.สุโขทัย เป็นแหล่งเรียนรู้ในการเพาะปลูกอ้อยที่ทันสมัยให้แก่สมาชิกหมู่บ้านสายใจไทย เกษตรกร เยาวชนและผู้สนใจ โดยเฉพาะมุ่งหวังให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยใช้เป็นต้นแบบในการทำไร่อ้อยให้เป็นอาชีพที่ยั่งยืน โดยกลุ่ม KTIS ตั้งเป้าสร้างผลผลิตให้ได้ไม่ต่ำกว่า 20 ตันอ้อยต่อไร่
มูลนิธิสายใจไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลง กับ บริษัท น้ำตาลไทยเอกลักษณ์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทน้ำตาลในกลุ่มบริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KTIS เพื่อมอบให้โรงงานน้ำตาลไทยเอกลักษณ์ดำเนินโครงการแปลงสาธิตและศูนย์เรียนรู้การเพาะปลูกอ้อยที่จังหวัดสุโขทัย
นายปรีชา อรรถวิภัชน์ ประธานกรรมการ KTIS เปิดเผยว่า โครงการแปลงสาธิตและศูนย์เรียนรู้การเพาะปลูกอ้อยนี้อยู่บนพื้นที่ 50 ไร่ ของมูลนิธิสายใจไทยฯ ที่ต้องการจัดทำแปลงสาธิตและศูนย์เรียนรู้การทำไร่อ้อยสำหรับสมาชิกหมู่บ้านสายใจไทย เกษตรกรชาวไร่อ้อยบริเวณใกล้เคียง นักเรียนนักศึกษา ตลอดจนผู้สนใจทั่วไป ได้เข้ามาฝึกอบรมและดูงาน เพื่อให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยได้เรียนรู้ว่า การทำไร่อ้อยอย่างถูกวิธีและได้ผลผลิตต่อไร่สูงจะต้องทำอย่างไร และสามารถนำไปพัฒนาการทำไร่อ้อยของตนเองให้ประสบความสำเร็จและเป็นอาชีพที่ยั่งยืน
"โครงการนี้ มูลนิธิสายใจไทยฯ ซึ่งเชื่อมั่นในศักยภาพกระบวนการปลูกอ้อย บำรุงรักษาอ้อยและเก็บเกี่ยวอ้อยด้วยหลักวิชาการที่ทันสมัยของกลุ่ม KTIS ได้มอบหมายให้ฝ่ายไร่โรงงานน้ำตาลไทยเอกลักษณ์ของเราทำต่อเนื่องมากว่า 4 ปีแล้ว และได้รับผลที่ดียิ่งตามความประสงค์ มีเกษตรกร นักเรียนนักศึกษาและผู้สนใจทั่วไปมาเยี่ยมชมอยู่เสมอ โดยเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา ผลผลิตอ้อยต่อไร่ทั่วๆ ไป อยู่ที่ประมาณ 9 ตันต่อไร่ เราตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะทำให้ได้ 13 ตันต่อไร่ ซึ่งผลที่ได้จริงเฉลี่ย 14.73 ตันต่อไร่ ถือว่าบรรลุเป้าหมาย จึงได้มีการทำข้อตกลงต่อเนื่องอีก 5 ปี โดยตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะต้องได้ผลผลิตไม่ต่ำกว่า 20 ตันอ้อยต่อไร่" นายปรีชากล่าว
นายประพันธ์ ศิริวิริยะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม KTIS กล่าวเสริมว่า ที่ผ่านมาแหล่งเรียนรู้ที่เป็นต้นแบบในการทำไร่อ้อยที่ถูกวิธียังมีน้อย ทำให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยไม่สามารถพัฒนาผลผลิตอ้อยได้ดีเท่าที่ควร ซึ่งมูลนิธิสายใจไทยฯ เล็งเห็นว่า กลุ่ม KTIS ซึ่งประกอบธุรกิจโรงงานน้ำตาลหลายโรง รวมทั้งโรงงงานน้ำตาลไทยเอกลักษณ์มีระบบการดูแลชาวไร่อ้อยที่มีความพร้อมทั้งด้วยเทคโนโลยีวิชาการอ้อยที่ทันสมัยและมีความผูกพันเอาใจใส่ในการส่งเสริมให้ความรู้แก่ชาวไร่อ้อยคู่สัญญาอย่างเป็นรูปธรรมตลอดมา เช่น การจัดทำโครงการโรงเรียนเกษตรกรอ้อย โครงการสร้างทายาทชาวไร่อ้อย โครงการหมู่บ้านอ้อยสด โครงการหมู่บ้านดินดีมากมีอินทรียวัตถุ โครงการ บ-ว-ร (บ้าน-วัด-โรงเรียน) + โรงงานน้ำตาลไทยเอกลักษณ์ การคิดค้นต้นแบบระบบน้ำหยดสำหรับแปลงอ้อยในประเทศไทย การจัดหารถตัดอ้อยให้ชาวไร่อ้อย เป็นต้น ทางมูลนิธิฯ จึงให้เกียรติและให้ความไว้วางใจในการดำเนินโครงการนี้
ทั้งนี้ ในการดำเนินโครงการดังกล่าว KTIS จะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการสร้างองค์ความรู้ให้กับสมาชิกหมู่บ้านสายใจไทย เกษตรกรชาวไร่อ้อย นักเรียนนักศึกษา และผู้สนใจทั่วไป เพื่อให้ทราบถึงวิธีการเพาะปลูกอ้อยอย่างถูกวิธี การใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาใช้ในการเพาะปลูกบำรุงรักษาและเก็บเกี่ยว เพื่อลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มผลผลิตอ้อยต่อไร่ เพื่อรักษาความยั่งยืนในการทำเกษตรให้แก่ชาวไร่อ้อยผ่านการจัดทำแปลงสาธิตการเพาะปลูกอ้อยและศูนย์การเรียนรู้การเพาะปลูกอ้อย สำหรับแปลงสาธิตและศูนย์เรียนรู้การเพาะปลูกอ้อยนี้ ตั้งอยู่ที่หมู่ 3 บ้านทุ่งมหาชัย ตำบลคลองมะพลับ อำเภอศรีนคร จังหวัดสุโขทัย ซึ่งมูลนิธิสายใจไทยฯ ได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมภาคการเกษตร อันเป็นอาชีพที่สำคัญและเป็นความสามารถในการแข่งขันหลักของประเทศไทย จึงได้ให้ใช้ที่ดิน 50 ไร่ เพื่อดำเนินโครงการนี้
นายประพันธ์ กล่าวด้วยว่า บริษัทฯ จะจัดอบรมให้แก่เกษตรกรชาวไร่อ้อยใน 5 อำเภอของจังหวัดสุโขทัย ได้แก่ อำเภอสวรรคโลก อำเภอศรีสัชนาลัย อำเภอศรีนคร อำเภอศรีสำโรง และอำภอทุ่งเสลี่ยม และจัดทัศนศึกษาดูการทำไร่อ้อยในขั้นตอนต่างๆ ตั้งแต่การเตรียมการก่อนการเพาะปลูก การปรับปรุงบำรุงดิน การปลูกอ้อย การบำรุงรักษาอ้อย การสร้างอินทรียวัตถุในดินโดยการปลูกพืชตระกูลถั่ว ซึ่งเป็นผลดีต่อสิ่งแวดล้อม การเก็บเกี่ยวอ้อยโดยใช้รถตัดอ้อยเพื่อให้ได้อ้อยสด และการบำรุงตออ้อย
"ต้องขอขอบคุณมูลนิธิสายใจไทยฯ ที่เห็นความสำคัญของการพัฒนาภาคการเกษตร โดยเฉพาะในเรื่องอ้อยซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญสำหรับการทำน้ำตาล เอทานอล และผลิตไฟฟ้า และเชื่อว่าโครงการแปลงสาธิตและศูนย์เรียนรู้การเพาะปลูกอ้อยที่ใช้เป็นเหล่งเรียนรู้การเพาะปลูกอ้อยที่ถูกวิธีให้แก่เกษตรกรชาวไร่อ้อยเยาวชนและผู้สนใจนี้ จะเป็นประโยชน์ในการเพิ่มผลผลิตอ้อยและสร้างความมั่นคงให้กับอาชีพเกษตรกรได้ในระยะยาว คณะผู้บริหาร และพนักงานฝ่ายไร่กลุ่ม KTIS โดยเฉพาะของโรงงานน้ำตาลไทยเอกลักษณ์ที่เป็นผู้ดูแลรับผิดชอบเรื่องนี้จะตั้งใจทุ่มเทกำลังความสามารถอย่างที่สุด เพราะเหนืออื่นใดเราถือว่าการดำเนินงานเรื่องนี้เป็นการตอบแทนบุญคุณแผ่นดินของเราด้วย" นายประพันธ์กล่าว
นายณัฎฐปัญญ์ ศิริวิริยะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายธุรกิจชีวพลังงานและผลิตภัณฑ์ บริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KTIS ผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำตาลและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ซื้อรถตัดอ้อยเพิ่มเติมในปีนี้อีก 13 คัน พร้อมทั้งได้ซื้อรถเก็บใบอ้อยเพิ่มอีก 3 คัน ซึ่งจะทำให้สามารถเพิ่มปริมาณอ้อยสด ลดอ้อยไฟไหม้ และได้ใบอ้อยมาใช้เป็นเชื้อเพลิงชีวมวลในการผลิตกระแสไฟฟ้าได้มากขึ้น
"กลุ่ม KTIS ได้รณรงค์และผลักดันให้ชาวไร่อ้อยตัดอ้อยสดส่งเข้าโรงงานซึ่งก็ได้รับความร่วมมือจากพี่น้องชาวไร่อ้อยเป็นอย่างดี แต่ที่ผ่านมายังติดปัญหาเรื่องแรงงานตัดอ้อยที่นับวันจะขาดแคลน กลุ่มเราได้เล็งเห็นความสำคัญในเรื่องดังกล่าวจึงได้ลงทุนซื้อรถตัดอ้อยเข้ามาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาความขาดแคลนทางด้านแรงงานตัดอ้อย โดยในปัจจุบันกลุ่มเรามีรถตัดอ้อยมากถึง 78 คัน และในปีนี้ได้ซื้อเพิ่มอีก 13 คัน ดังนั้นในฤดูการผลิต 58/59 ที่จะมาถึงกลุ่มเราจะมีรถตัดอ้อยจำนวน 91 คัน ซึ่งยังไม่นับรวมในส่วนของพี่น้องชาวไร่อ้อยที่มีอีกเป็นจำนวนมาก" นายณัฎฐปัญญ์กล่าว
นอกจากนี้ ทางกลุ่มบริษัทฯ ยังมีการรณรงค์ให้ความรู้กับพี่น้องชาวไร่อ้อยเพื่อให้เห็นคุณค่าและความสำคัญของอ้อยสด ไม่ว่าจะเป็นโครงการหมู่บ้านอ้อยสด โครงการสร้างแรงจูงใจด้วยการมอบรางวัลอ้อยสดประจำปี และโครงการอื่นๆ อีกหลายโครงการ และที่สำคัญในปีนี้กลุ่ม KTIS ก้าวต่อไปในระดับที่คิดค้นรณรงค์การนำใบอ้อย มาใช้ประโยชน์ในการเป็นเชื้อเพลิง จึงได้มีโครงการรับซื้อใบอ้อยเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับพี่น้องชาวไร่อ้อยอีกด้วย และเชื่อว่าโครงการนี้จะได้ผลในการเพิ่มสัดส่วนอ้อยสดและลดสัดส่วนอ้อยไฟไหม้ลงได้เป็นอย่างมาก เพราะใช้เหตุผลจูงใจง่ายๆ เพิ่มเติมว่าหากอ้อยถูกไฟไหม้ชาวไร่อ้อยก็จะขาดรายได้จากการขายใบอ้อย
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายธุรกิจชีวพลังงานและผลิตภัณฑ์ KTIS กล่าวด้วยว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา ในอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย จะเห็นได้ว่า อ้อยที่ชาวไร่ได้ตัดส่งมาขายให้กับทางโรงงาน มีใบอ้อยจำนวนมากที่สูญเสียไปกับการถูกไฟไหม้ และอีกจำนวนมากที่ไม่ได้นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ ทาง KTIS จึงได้เริ่มโครงการรับซื้อใบอ้อยจากพี่น้องชาวไร่อ้อยอย่างเอาจริงเอาจัง ซึ่งในปีการผลิตที่จะถึงนี้กลุ่ม KTIS มีรถเก็บใบอ้อยรวมถึง 6 คัน ที่ได้สั่งซื้อจากต่างประเทศ นอกจากนั้นยังได้สั่งซื้อภายในประเทศอีกหลายคันรวมแล้วเป็นเงินลงทุนหลายสิบล้านบาท โดยคาดว่าในฤดูการผลิต 58/59 ทางกลุ่มน่าจะจัดเก็บใบอ้อยได้ประมาณ 2 แสนกว่าตัน โดยกลุ่ม KTIS ก็ได้ประโยชน์ในการนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงผลิตกระแสไฟฟ้าได้ประมาณ 145 ล้านกิโลวัตต์ ซึ่งจะก่อให้เกิดรายได้ของกลุ่มเพิ่มขึ้น รวมทั้งการลดความสูญเสียและเพิ่มรายได้ให้พี่น้องชาวไร่อ้อย อีกทั้งก่อให้เกิดประโยชน์ต่อระบบและต่อส่วนรวมเป็นอย่างมากโดยเฉพาะในด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม