กรุงเทพฯ--21 ก.ค.--บีโอไอ
บีโอไอเผยภาพรวมการส่งเสริมการลงทุนครึ่งปีแรก 2558 โดยมีการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนมูลค่า 412,690 ล้านบาท ซึ่งจะสร้างรายได้เข้าประเทศจากการส่งออกปีละกว่า 588,805 ล้านบาท และเกิดการใช้วัตถุดิบในประเทศมูลค่ากว่า 350, 507 ล้านบาทต่อปี รวมทั้งจะมีการจ้างงานคนไทยกว่า 1 แสนตำแหน่ง ส่วนโครงการที่ยื่นขอรับส่งเสริมในช่วงครึ่งปีแรก ส่วนใหญ่เป็นกิจการเป้าหมายและสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยถึงภาวะการส่งเสริมการลงทุนในช่วง 6 เดือนแรกของปี 25558 (มกราคม-มิถุนายน 2558) ว่า มีกิจการที่ได้รับอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนจำนวนทั้งสิ้น 1,254 โครงการ มีมูลค่าเงินลงทุนรวม 412,690 ล้านบาท โดยมีจำนวน 523 โครงการ หรือคิดเป็น ร้อยละ 42 ของโครงการทั้งหมด ที่เป็นกิจการผลิตเพื่อส่งออก ซึ่งคาดว่าจะก่อให้เกิดการสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศได้ถึงปีละ 588,805 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเกิดการส่งของกลุ่มนี้ได้ภายในช่วง 1-3 ปี นับจากนี้ โดยเฉพาะในกลุ่มการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เกษตรกรรม และผลิตผลจากการเกษตร เคมีภัณฑ์ พลาสติก และกระดาษ เป็นต้น
นอกจากนี้ โครงการลงทุนที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมจำนวนดังกล่าวจะใช้วัตถุดิบในประเทศ เป็นมูลค่า 350,507 ล้านบาทต่อปี โดยโครงการในหมวดเกษตรกรรมและผลิตผลการเกษตรจะใช้วัตถุดิบ ในประเทศมากเป็นอันดับ 1 มูลค่า 140,743 ล้านบาทต่อปี ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาคเกษตรของไทยโดยตรง
และหากโครงการที่ได้รับอนุมัติจำนวนดังกล่าวเปิดดำเนินการ จะเกิดการจ้างงานคนไทยเป็นจำนวน104,838 ตำแหน่ง โดยกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ จะมีการจ้างงานเป็นอันดับหนึ่ง ตามมาด้วยกลุ่มโลหะ เครื่องจักร ยานยนต์และชิ้นส่วน กลุ่มเคมีภัณฑ์ พลาสติก และกระดาษ
ทั้งนี้ มีกิจการในกลุ่มวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ที่น่าสนใจจำนวน 66 โครงการ เงินลงทุน 20,322 ล้านบาท อาทิ กิจการผลิตเครื่องมือแพทย์ เช่น รากฟันเทียม สกรูยึดกระดูก อุปกรณ์เจาะกระดูก แผ่นโลหะดามกระดูก หลอดเก็บตัวอย่างเลือด น้ำยาล้างไต และลิ้นหัวใจเทียม กิจการที่ใช้เทคโนโลยีชีวภาพที่ทันสมัย เช่น การวิจัยพัฒนา Functional Enzymes และ Probiotics และการผลิตยีสต์สกัดและยีสต์โปรตีน กิจการบริการทดสอบทางวิทยาศาสตร์ กิจการผลิตเครื่องจักร อุปกรณ์ และชิ้นส่วนที่มีการออกแบบทางวิศวกรรม กิจการวิจัยและพัฒนาด้านต่างๆ เช่น ยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ
สำหรับคำขอรับส่งเสริมการลงทุนในช่วง 6 เดือน มีจำนวน 408 โครงการ มีมูลค่าเงินลงทุนรวม 71,140 ล้านบาท โดยเป็นกิจการเป้าหมายที่สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลถึงร้อยละ 65 หรือจำนวน 264 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 45,070 ล้านบาท กิจการกลุ่มพลังงานทดแทนและการประหยัดพลังงาน ได้รับความสนใจยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนมากที่สุด มีทั้งสิ้น 59 โครงการ เงินลงทุนรวม 19,687 ล้านบาท เช่น กิจการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ กิจการผลิตเชื้อเพลิงจากชีวมวล กิจการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพ รองมาเป็นกิจการในกลุ่มของการสร้างมูลค่าเพิ่มจากผลิตผลการเกษตร มีคำขอรับการส่งเสริม 25 โครงการ เงินลงทุน 8,190 ล้านบาท เ ช่น กิจการผลิตยางรถยนต์ กิจการผลิตผลิตภัณฑ์จากยางธรรมชาติ เช่น ถุงมือ ที่นอน เป็นต้น กิจการผลิตหรือถนอมอาหาร เครื่องดื่ม เช่น น้ำผลไม้ อาหารแช่แข็ง เป็นต้น
กิจการ ส่งเสริมการท่องเที่ยว มีคำขอรับการส่งเสริม 4 โครงการ เงินลงทุน 5,884 ล้านบาท เช่นกิจการหอประชุมใหญ่ กิจการศูนย์แสดงศิลปะและวัฒนธรรม กิจการศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพ กิจการด้านส่งเสริมวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม มีคำขอรับการส่งเสริม 38 โครงการ เงินลงทุน 4,470 ล้านบาท เช่น กิจการวิจัยและพัฒนา กิจการผลิตเครื่องจักร อุปกรณ์ หรือชิ้นส่วนที่มีการออกแบบทางวิศวกรรมหรือการขึ้นรูปชิ้นส่วน กิจการบริการออกแบบผลิตภัณฑ์ ออกแบบทางวิศวกรรม หรือออกแบบระบบสมองกลฝังตัว กิจการเทคโนโลยีชีวภาพ กิจการบริการทดสอบทางวิทยาศาสตร์ เป็นต้น
กิจการด้านส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล มีคำขอรับการส่งเสริม 75 โครงการ เงินลงทุน 1,855 ล้านบาท เช่น กิจการ Data center กิจการซอฟต์แวร์ กิจการ Cloud Service
กิจการด้านการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ มีคำขอรับการส่งเสริม 25 โครงการ เงินลงทุน 2,693 ล้านบาท เช่น กิจการขนส่งทางเรือ กิจการด้านส่งเสริมสิ่งแวดล้อม มีคำขอรับการส่งเสริม 4 โครงการ เงินลงทุน 840 ล้านบาท เช่น กิจการผลิตพลาสติกรีไซเคิล กิจการผลิตเชื้อเพลิงจากขยะ
กิจการส่งเสริมการเป็นศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ มีคำขอรับการส่งเสริม 30 โครงการ เงินลงทุน 576 ล้านบาท เช่น กิจการบริษัทการค้าระหว่างประเทศ (International Trading Centers: ITC) กิจการสำนักงานใหญ่ข้ามประเทศ (International Headquarters: IHQ) และ กิจการด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ มีคำขอรับการส่งเสริม 2 โครงการ เงินลงทุน 67 ล้านบาท เช่น กิจการศูนย์ฝึกอบรมระดับภูมิภาคในด้านการบริหารจัดการ กิจการศูนย์ฝึกอบรมด้านวิศวกรรม เป็นต้น