กรุงเทพฯ--24 ก.ค.--อาร์เอส
ได้ชื่อว่าเป็นสาวงามที่สวยที่สุดในประเทศ เมื่อพูดถึง “ป๊อบ-อารียา สิริโสภา” เพราะเธอมีตำแหน่ง นางสาวไทย ปี 2537 เป็นเครื่องการันตี แม้ช่วงหลังจะห่างจากหน้าจอทีวีไปนานเพื่อไปเอากับงานหนัง แต่ล่าสุด “ป๊อบ” ขอทิ้งชีวิตที่แสนจะสวยหรูมาเป็น “ครูสอนโยคะ” พร้อมทุ่มเทเวลาให้กับ “คุณแม่” ที่ล้มป่วยทุกวินาที ทั้งหมดนี้เธอพร้อมเปิดในรายการ “โชว์แตกฟอง” ทาง “ช่อง 2” ข่าวลึก บันเทิงร้อน
เริ่มมาเป็นครูสอนโยคะได้ยังไง ?
“จุดเริ่มต้นของการเป็นครูสอนโยคะ คือ เราปวดหลัง หลังคดเป็นตั้งแต่วัยรุ่นแล้วละ เราก็ไปฝึกเล่นโยคะเพื่อที่จะให้หายปวดหลัง เล่นไปเล่นมาแล้วก็ดีไปเรื่อยๆ นอกจากจะจัดกระดูกของตัวเองไปเรื่อยๆ แล้ว มันดีหลายอย่าง มีวินัยเรื่องการนอนมากขึ้น มีวินัยเรื่องการกินมากขึ้น มีสติมาก ยิ่งตอนนี้เราดูแลแม่ด้วยแหละ แม่เป็นโรคที่มือสั่นมากขึ้น ขาสั่น ต้องมีคนคอยดูแลตลอดเวลา แม่นั่งวิวแชร์ ต้องมีคนป้อนข้าว การที่เราต้องอยู่กับคนที่ไม่สบายแล้วเป็นโรคที่หมดไม่มียารักษาได้ เราก็วิตกกังวลเหมือนกัน เพราะเราก็ไม่มีลูกใครจะดูแลเรา ก็เลยต้องหันมาดูแลสุขภาพร่างกาย ตอนนี้นักเรียนค่อนข้างเยอะ จุดเริ่มต้นของการเป็นครูมันเริ่มมาจากที่เราปวดหลังแล้วเราเริ่มเล่น จนตระเวนไปหาครูเก่งๆ ทั่วโลกเพื่อที่เราจะเรียน พอเราซึมซัมจากครูที่เราชื่นชอบมา เราก็เริ่มหาวิธีของเราที่จะรักษาตัวเราเอง การที่มาทำตรงนี้มันเป็นการมอบสุขภาพที่ดีให้กับคนอื่น เหมือนแก่ไปจะไม่มีใครดูแลเรา เราก็เริ่มที่จะดูแลตัวเองตั้งแต่ตอนนี้ก่อน โยคะทำให้เรารู้จิตร รู้ใจตัวเอง อย่างในวงการต้องเน้นแต่งตัวเสื้อผ้าสวยๆ มันเน้นทางเปลือก แต่โยคะมันเข้าไปในแก่นแท้เลย แก่นของตัวเราเอง”
งานในวงการยังจะมีให้เห็นอีกมั้ย ?
“งานในวงการก็ยังมีไปถ่ายแบบบ้าง ไปออกงานบ้าง พออายุมากขึ้นเราก็ห่วงเรื่องเวลาของเราพอสมควร ถามว่าชอบทำงานในวงการมั้ย ถ้าเกิดมันสนุกและได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ เราก็จะยอมทำ แต่ถ้าไปเพราะกลัวว่าคนจะลืมเราก็ไม่ทำอะ ลืมไปเถอะไม่เป็นไรหรอก ถ้ามีงานอะไรน่าสนใจก็คอยทำ”
ถามถึงเรื่องคุณแม่หน่อย เราเครียดมั้ย ?
“เครียดเยอะคะ เนื่องจากคุณแม่เป็นวิศวะฯ มาก่อน เป็นคนที่แป๊ะมาก ตื่นตี 5 ออกกำลังกาย ต้องกินข้าว 8 โมง เด็กที่บ้านออกไปประมาณ 20 ชุดในระยะเวลา 2 ปี การที่เขาไม่ปล่อยวาง ทำให้เราเรียนรู้ตรงนี้ว่าแก้ปัญหาอะไรไม่ได้ให้ปล่อยว่าง บางทีเราเห็นแม่เราเครียดเราก็ต้องใจเย็นมากขึ้น เพราะถ้าเป็นเด็กตีได้ ถ้าเป็นแม่ตีไม่ได้ มีเหนื่อยมีท้อมั้ย ก็มีบ้างตอนที่เด็กที่บ้านหนีออกไป เรารู้ว่าทุกคนมีชีวิตของตัวเอง”
หลังจากที่แม่ป่วยทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนไปมั้ย ?
“บอกตรงๆ นะเราดูแลแม่คนเดียวเลย มีเด็กใหม่มาเราก็ต้องฝึกเขา บางทีเราก็ต้องคอยเป็นกำลังใจให้เด็ก ก็คอยพาแม่ไปหาหมอ ทุกวันนี้ขับมอเตอร์ไซด์ไปตลาดเองไปซื้อของให้แม่ เมื่อก่อนตอนเราเป็นเด็กๆ อยู่เมืองนอกแม่ก็จะกินแต่ข้าวกับน้ำพริก เพราะว่าเราฉันเป็นไทย แต่ตอนนี้แม่อยากกินอาหารฝรั่ง อยากกินพิชซ่า ตอนนี้แม่กลับไปเด็กเราก็ต้อวงกลับไปผู้ใหญ่”