กรุงเทพฯ--24 ก.ค.--กรมสุขภาพจิต
นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ปัญหาการฆ่าตัวตาย เป็นเรื่องใกล้ตัว และพบว่า เหตุการณ์การฆ่าตัวตายในหลายๆ ครั้ง สิ่งที่มักพบเสมอ คือ ผู้ที่ทำร้ายตนเองหลายราย ก่อนตัดสินใจลงมือกระทำ จะส่งสัญญาณเตือนบอกเหตุ ให้แก่ครอบครัว และบุคคลใกล้ชิดอยู่เสมอ แต่ผู้ที่ได้รับสัญญาณเตือนนั้น มักไม่เข้าใจ หรือแปลความหมายไม่ถูกต้อง กลับมองว่าเป็นเรื่องปกติ เรียกร้องความสนใจ ทำให้ละเลย ไม่ใส่ใจ หรือ แม้จะสังเกตเห็น แต่ก็ไม่กล้าพอ และขาดความรู้ที่จะเข้าไปดูแลช่วยเหลือ เหล่านี้จึงล้วนเป็นปัจจัยสนับสนุนที่นำมาสู่การฆ่าตัวตายในที่สุด ดังนั้น การทำความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าว การมีความรู้เกี่ยวกับวิธีสังเกตสัญญาณเตือน และการให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้น จึงมีความสำคัญ ซึ่งถ้าได้นำไปปฏิบัติ ย่อมช่วยให้สังคมและครอบครัว ลดความสูญเสียที่เกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง
วิธีสังเกตหรือประเมินว่ากำลังอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการทำร้ายตนเองหรือไม่ ได้แก่ กำลังอยู่ในภาวะวิกฤติชีวิต และไม่สามารถปรับตัวต่อการแก้ไขปัญหาในชีวิตได้ มีอารมณ์หรือบุคลิกแบบหุนหันพลันแล่น แบบก้าวร้าวรุนแรง หรือ กำลังประสบกับความผิดหวัง ล้มเหลวด้านการงาน การเงิน การเรียน สูญเสียคนรัก คนในครอบครัว เจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรัง หรือ โรคจิตเวชบางชนิด เช่น โรคซึมเศร้า โรคจิต ทุกข์ทรมานจากการเจ็บป่วย ติดสุรา ยาเสพติด มีบุคคลในครอบครัว เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตาย หรือ ตนเอง เคยมีประวัติทำร้ายตัวเองมาก่อนภายใน 1 ปี ฯลฯ เหล่านี้ สะท้อนให้เห็นว่า ผู้ที่ฆ่าตัวตายหลายราย มักมีสาเหตุมากกว่าหนึ่งสาเหตุประกอบกัน ก่อนการลงมือ และด้วยความรู้สึกสุดท้ายที่จะขอความช่วยเหลือ หรือเพื่อการบอกลา มักมีการแสดงออกให้ผู้ที่อยู่ใกล้ชิด เห็นสัญญาณ เช่น ชอบบ่นตัดพ้อ โพสต์ หรือ เขียนข้อความ ในทำนองเปรยๆ ว่า อยากตาย ไม่อยากมีชีวิตอยู่ ชีวิตไม่มีค่า ไม่มีใครรัก ไม่มีใครสนใจ ไม่รู้จะอยู่ไปเพื่ออะไร ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ หรือ มีพฤติกรรมเก็บตัว พูดน้อยลง แยกตัวออกจากครอบครัว และเพื่อนฝูง มีการสูบบุหรี่ - ดื่มเหล้าจัด เป็นต้น ซึ่งสัญญาณเตือนเหล่านี้ คนใกล้ชิดและสังคมไม่ควรละเลย ควรยื่นมือให้ความช่วยเหลือโดยเร่งด่วน เพื่อช่วยลดปัญหาดังกล่าวไปจากสังคมไทย อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าว
ด้าน พญ.พรรณพิมล วิปุลากร รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวเพิ่มเติมว่า สัญญาณที่เกิดขึ้น เป็นสัญญาณขอความช่วยเหลือ ไม่ใช่การเรียกร้องความสนใจ ผู้ใกล้ชิดจึงต้องเปลี่ยนทัศนคติตัวเอง อย่ามองว่าการฆ่าตัวตายเป็นการเรียกร้องความสนใจ แต่มันคือ call for help ที่เขาพยายามร้องขอความช่วยเหลืออีกครั้ง เป็นการบอกกล่าวแทนคำพูดเพื่อให้ช่วย เพราะเขาเหล่านั้น หาทางแก้ไขไม่ได้แล้ว ไม่พบเห็นประตูทางออกของปัญหา จึงเลือกวิธีนี้เพื่อยุติปัญหา ดังนั้น ทุกคน ควรที่จะช่วยกันสังเกตว่าในสถานการณ์สุ่มเสี่ยงดังกล่าว มีสัญญาณอันตรายเกิดขึ้นหรือไม่ หากพบเห็นพฤติกรรมดังกล่าว อย่าตื่นตระหนก หรือ มองว่า เป็นการเรียกร้องความสนใจ ควรจะปรับตัว ปรับใจ มองสัญญาณเตือนอย่างมีสติ และคิดตามถึงเหตุผลของประโยคและพฤติกรรมเหล่านั้น ว่า อะไร ทำให้เขาพูดอย่างนั้น เกิดอะไรขึ้น และ เบื้องต้น มีอะไรให้ช่วยเหลือหรือไม่ ต้องแสดงให้เขาได้รับรู้ว่า เราเข้าใจในทุกข์ที่เขามีอยู่ และพร้อมจะยื่นมือให้ความช่วยเหลือตามกำลังความสามารถ หากปัญหานั้นรุนแรง เขาก็จะเข้าถึงระบบบริการรักษาด้วยทางเลือกที่หลากหลาย ทั้งนี้ ที่ผ่านมา บางครอบครัว หรือ คนใกล้ชิด มักต่อว่า หรือ ตำหนิ เช่น ทำไมโง่อย่างนี้ เรื่องแค่นี้ต้องตายเลยเหรอ รวมทั้งไม่ได้คุยถึงปัญหาที่เกิดขึ้น คิดว่าได้ระบายออกมาแล้วด้วยการพูดว่าจะฆ่าตัวตาย แล้วไม่ทำอะไรต่อ จึงยิ่งเป็นการซ้ำเติมให้สถานการณ์แย่ลงไปอีก
นอกจากนี้ เมื่อวิเคราะห์การนำเสนอข่าวปัญหาการฆ่าตัวตายที่ผ่านมา จะพบว่า มีการนำเสนอจำนวนบุคคลที่ฆ่าตัวตายลดลง แต่มีการนำเสนอซ้ำผ่านสื่อช่องทางต่างๆ เพิ่มมากขึ้น ซึ่งตรงนี้ อาจส่งผลกระทบต่อกลุ่มเสี่ยงที่มีภาวะจิตใจเปราะบาง มีปัญหาอยู่แล้ว หรือ คิดฆ่าตัวตายอยู่แล้ว และกำลังหาวิธีอยู่ เกิดความคิดชั่ววูบ ตัดสินใจฆ่าตัวตายหนีปัญหาไปในที่สุด จึงต้องขอความร่วมมือพี่น้องสื่อมวลชนให้ช่วยระมัดระวังในการนำเสนอข่าวเช่นนี้ด้วย เพราะสื่อมวลชนถือว่ามีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมากที่จะช่วยป้องกันและลดปัญหาการฆ่าตัวตายลงได้ ซึ่งที่ผ่านมา สื่อมวลชนหลายสำนักก็มีความเข้าใจและได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี และท้ายสุด ขอย้ำว่า การฆ่าตัวตาย เกิดได้ ทุกช่วงเวลา และทุกช่วงวัย แต่สามารถป้องกันได้ สิ่งสำคัญของการป้องกัน คือ เมื่อพบสัญญาณเตือน คนใกล้ชิดเสี่ยงฆ่าตัวตาย หรือ ทำร้ายตนเอง ให้รีบช่วยเหลือทันที เขาเหล่านั้น ต้องการความเห็นอกเห็นใจ ต้องการคนเข้าใจความรู้สึกของเขา ให้คุยปลอบใจหรือรับฟังในสิ่งที่เขาเล่า แสดงให้เห็นว่า ยังมีคนเข้าใจ ใส่ใจ และอยู่เคียงข้างเขา หากปัญหานั้น เราและเขา ยังไม่เห็นทางออก ก็สามารถเลือกใช้บริการรับคำปรึกษา จากสายด่วนสุขภาพจิต 1323 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือรีบพาไปพบแพทย์โดยทันที รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าว