กรุงเทพฯ--29 ก.ค.--มาสเตอร์ มายด์ คอมมิวนิเคชั่นส์
บมจ. ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป ผู้นำในอุตสาหกรรมอาหารครบวงจร ที่มีความเชี่ยวชาญในการผลิตไก่และสุกร ซึ่งดำเนินธุรกิจทั้งในประเทศไทยและเวียดนาม เตรียมเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 1.4 พันล้านหุ้น หลัง ก.ล.ต. นับหนึ่งไฟลิ่ง พร้อมนำบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมี บล. เคที ซีมิโก้ เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
นายคมกฤต มีคำสัตย์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ เคที ซีมิโก้ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน เปิดเผยว่า หลังจาก บมจ.ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป (บริษัทฯ) ผู้นำในอุตสาหกรรมอาหารครบวงจรที่มีความเชี่ยวชาญในการผลิตไก่และสุกร ซึ่งดำเนินธุรกิจทั้งในประเทศไทยและเวียดนามได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (แบบไฟลิ่ง) และยื่นคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ล่าสุดสำนักงาน ก.ล.ต.ได้นับหนึ่งแบบไฟลิ่งของบริษัทฯ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้ บมจ.ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป ได้ยื่นคำขอเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 1,400,000,000 หุ้น (1.4 พันล้านหุ้น) หรือคิดเป็น ร้อยละ 25.92 ของจำนวนหุ้นสามัญ ที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งนี้ บริษัทฯ จะมีทุนจดทะเบียนที่ออกและชำระแล้วเป็นจำนวน 5,400,000,000 หุ้น (5.4 พันล้านหุ้น) มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท
บมจ.ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมอาหารครบวงจร ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการผลิตไก่และสุกร โดยดำเนินธุรกิจทั้งในประเทศไทยและประเทศเวียดนาม ประกอบด้วย 4 สายธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจไก่ โดยบริษัทฯ ดำเนินการเพาะพันธุ์ไก่ ผลิตและจำหน่ายเนื้อไก่ ลูกไก่ ไก่พันธุ์เนื้อ ไก่พันธุ์ไข่ รวมถึงผลิตภัณฑ์แปรรูปจากเนื้อไก่ ส่วนธุรกิจสุกรจะดำเนินการเพาะพันธุ์สุกรและจำหน่ายสุกรมีชีวิต นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจอาหารสัตว์ที่มุ่งเน้นผลิตและจำหน่ายอาหารสำหรับไก่และสุกร และธุรกิจอื่นๆ ได้แก่ ศูนย์วิจัยและพัฒนาวัคซีนและเวชภัณฑ์ ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารสัตว์ และอุปกรณ์ทางการเกษตรที่ทำจากพลาสติกอีกด้วย
“ภายหลังจากที่ ก.ล.ต. อนุญาตให้ บมจ.ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนและแบบแสดงรายการข้อมูลมีผลบังคับใช้แล้ว บล. เคที ซีมิโก้ และบริษัทฯ จะร่วมกำหนดวันเสนอขายหุ้นให้แก่ประชาชนทั่วไป ก่อนจะนำบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยต่อไป” นายคมกฤต กล่าว
สำหรับเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ บริษัทฯ จะนำไปขยายธุรกิจไก่ สุกรและอาหารสัตว์ โดยบริษัทฯ มีแผนการลงทุนในโรงงานผลิตไส้กรอกไก่ ปรับปรุงโรงผลิตชิ้นส่วนไก่ รวมถึงการก่อสร้างฟาร์มสุกรทวดพันธุ์ฟาร์มแห่งที่สอง ก่อสร้างฟาร์มสุกรพ่อแม่พันธุ์เพิ่มอย่างน้อย 5 ฟาร์มและลงทุนในโรงผลิตชิ้นส่วนสุกร นอกจากนี้ ยังลงทุนซื้อและ/หรือปรับปรุงเครื่องจักรและอาคารในโรงผลิตอาหารสัตว์ที่ปัจจุบันบริษัทฯ มีอยู่ 3 โรงและลงทุนในโรงผลิตอาหารสัตว์เพิ่มเติมอีก 1 โรง โดยส่วนที่เหลือนำไปชำระหนี้เงินกู้เพื่อลดต้นทุนทางการเงินและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนต่อไป
ด้านนายวินัย เตียวสมบูรณ์กิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯ ได้ให้ความสำคัญกับการดำเนินงานแบบครบวงจรตั้งแต่กระบวนการเพาะพันธุ์ การเลี้ยง การผลิต การแปรรูปและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยบริษัทฯ เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายไก่ทั้งตัวและชิ้นส่วนไก่ รวมถึงผลิตภัณฑ์แปรรูปจากเนื้อไก่ ปัจจุบัน บริษัทฯ มีฟาร์มเพาะพันธุ์สำหรับเลี้ยงไก่พ่อแม่พันธุ์จำนวน 15 ฟาร์ม กำลังการผลิต 1,716,900 ตัว ซึ่งไม่รวมกำลังการผลิตจากเครือข่ายเกษตรกรภายใต้ระบบเกษตรแบบพันธะสัญญาที่มีมากกว่า 495 ราย จำนวน 1,200 ฟาร์ม กำลังการผลิต 3,100,000 ตัว
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีโรงฟักไข่จำนวน 6 โรง ซึ่งปัจจุบันมีกำลังผลิตประมาณ 4,900,000 ฟองต่อสัปดาห์ อีกทั้ง บริษัทฯ ยังได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อสร้างความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และตอบสนองความต้องการของลูกค้า โดยบริษัทฯ ได้เริ่มผลิตผลิตภัณฑ์แปรรูปจากเนื้อไก่ประเภทไส้กรอกแล้วเมื่อไตรมาสที่ 1 ปี 2558 ส่งผลปัจจุบันบริษัทฯ จึงเป็นผู้ผลิตอาหารแบบครบวงจรและยังเป็นผู้จำหน่ายเนื้อไก่รายใหญ่ของประเทศอีกด้วย
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป กล่าวเพิ่มเติมว่า ส่วนของธุรกิจสุกรนั้น บริษัทฯ มีฐานการผลิตทั้งในประเทศไทยและเวียดนาม โดยครอบคลุมตั้งแต่การเพาะพันธุ์ การเลี้ยงเพื่อจำหน่ายสุกรมีชีวิต ซึ่งปัจจุบันมีฟาร์มสุกรทวดพันธุ์จำนวน 1 ฟาร์ม กำลังการผลิต 450 ตัว และจะขยายเพิ่มอีก 1 ฟาร์ม ที่จังหวัดสระแก้ว ขณะที่ฟาร์มสุกรปู่ย่าพันธุ์ มีจำนวน 7 ฟาร์ม ซึ่งเป็นของบริษัทฯ 3 ฟาร์ม และเช่าจากผู้อื่นอีก 3 ฟาร์ม รวมทั้งมี 1 ฟาร์มในประเทศเวียดนาม รวมกำลังการผลิตทั้งสิ้นประมาณ 8,000 ตัว
สำหรับฟาร์มสุกรพ่อแม่พันธุ์ มีกำลังการผลิต 12,000 ตัว แบ่งเป็นฟาร์มของบริษัทฯ เอง 1 ฟาร์มและเช่าอีก 5 ฟาร์ม นอกจากนี้ในประเทศเวียดนาม บริษัทฯ ยังเป็นเจ้าของฟาร์มสุกรพ่อแม่พันธุ์จำนวน 1 ฟาร์มและมีฟาร์มภายใต้ระบบเกษตรแบบพันธะอีก 2 ฟาร์ม เพื่อนำไปผลิตเป็นสุกรขุนก่อนที่จะเลี้ยงและจำหน่ายให้แก่ลูกค้าต่อไป
ขณะเดียวกัน บริษัทฯ เลี้ยงสุกรขุนในฟาร์มภายใต้ระบบเกษตรแบบพันธะสัญญา (Contract Farms) รวม 303 ราย แบ่งเป็นในไทย 276 ราย และในเวียดนาม 27 ราย เพื่อจำหน่ายสุกรมีชีวิตให้แก่ลูกค้า โดยมีกำลังการผลิตมากกว่า 286,319 ตัว ซึ่งบริษัทฯ มีแผนจะเพิ่มกำลังการผลิตสุกรขุน 3 เท่าตัวภายในสิ้นปี 2560 ผ่านรูปแบบการขยายเครือข่ายเกษตรกรให้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ดำเนินธุรกิจผลิตอาหารสัตว์ ที่มุ่งเน้นอาหารสำหรับไก่และสุกรเป็นหลัก มีกำลังการผลิตรวม 120,000 ตันต่อเดือนจากฐานการผลิตของโรงงานทั้ง 3 โรง เพื่อป้อนให้แก่ฟาร์มเลี้ยงไก่และสุกรของบริษัทฯ รวมถึงจำหน่ายให้แก่บุคคลภายนอก
“เราเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมอาหารครบวงจรที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจไก่และสุกรรายใหญ่ของไทย ซึ่งบริษัทฯ เชื่อมั่นว่า เราเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดด้านอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ของประเทศที่ได้มาตรฐานระดับสากล เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ” นายวินัย กล่าว