กรุงเทพฯ--4 ส.ค.--พีอาร์ดีดี
นายอมร จุฬาลักษณานุกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทไทคอน แมนเนจเม้นท์ จำกัด หรือ TMAN ในฐานะผู้จัดการทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ไทคอน (TREIT) เปิดเผยว่าที่ประชุมผู้ถือหน่วยทรัสต์ TREIT มีมติอนุมัติให้ลงทุนเพิ่มในทรัพย์สิน ซึ่งประกอบด้วย โรงงานให้เช่าของบริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TICON และคลังสินค้าให้เช่าของบริษัท ไทคอน โลจิสติคส์ พาร์ค จำกัด หรือ TPARK ในมูลค่าเข้าลงทุนสูงสุดไม่เกิน 3,355 ล้านบาท (รวมค่าใช้จ่ายในการเสนอขายหน่วยทรัสต์และค่าใช้จ่ายอื่นๆ) โดยทรัพย์สินที่จะลงทุนเพิ่มเติมในครั้งนี้ประกอบด้วย 2 ส่วน ได้แก่ ทรัพย์สินที่ได้รับอนุมัติแล้วจากที่ประชุมผู้ถือหน่วยทรัสต์ในครั้งก่อนจำนวน 12 ยูนิต ซึ่งมูลค่าเข้าลงทุนจะเป็นมูลค่าเดิมจากที่ได้รับการอนุมัติจากผู้ถือหน่วยทรัสต์ในครั้งที่แล้ว คือ ไม่เกิน 472.29 ล้านบาท และทรัพย์สินที่จะลงทุนเพิ่มใหม่อีกจำนวน 41 ยูนิตที่ราคาเข้าลงทุนไม่เกิน 2,827.71 ล้านบาท
สำหรับทรัพย์สินที่จะลงทุนเพิ่มในครั้งนี้เป็นทรัพย์สินในหลากหลายทำเลศักยภาพทั้งหมด 11 ทำเลด้วยกัน โดยมีทั้งที่เป็นกรรมสิทธิ์และสิทธิการเช่า โดยมีสัดส่วนคลังสินค้าประมาณ 82% และโรงงานประมาณ 18% ทั้งนี้ ภายหลังการลงทุนเพิ่มจะทำให้ TREIT มีมูลค่าสินทรัพย์เพิ่มขึ้นเป็นไม่เกิน 7,640 ล้านบาท และมีโครงสร้างของสินทรัพย์ที่ลงทุนเป็นการลงทุนในกรรมสิทธิ์ (Freehold) ประมาณ 61%และเป็นการลงทุนในสิทธิการเช่า (Leasehold) ประมาณ 39%
นายอมรกล่าวถึงแหล่งที่มาของเงินลงทุนว่า จะมาจากการเพิ่มทุนโดยการเสนอขายหน่วยทรัสต์จำนวนรวมไม่เกิน 2,350 ล้านบาท โดยจะออกและเสนอขายหน่วยทรัสต์เพิ่มเติมไม่เกิน 241 ล้านหน่วย โดยจะเสนอขายให้แก่ผู้ถือหน่วยทรัสต์เดิมที่มีรายชื่อปรากฏในสมุดทะเบียนผู้ถือหน่วยTREIT ตามสัดส่วนการถือหน่วยทรัสต์ (Rights Offering) ไม่ต่ำกว่า 50% และส่วนที่เหลือจัดสรรให้กับประชาชนทั่วไป (Public Offering) ในราคาเสนอขายเดียวกันซึ่งจะกำหนดราคาตามภาวะตลาดที่เสนอขายในขณะนั้น ส่วนเงินลงทุนที่เหลือจะมาจากเงินกู้ระยะยาวจากสถาบันการเงินจำนวนไม่เกิน 1,005 ล้านบาท
"การลงทุนเพิ่มในครั้งนี้ไม่เพียงจะทำให้ TREIT มีขนาดใหญ่ขึ้นซึ่งจะช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับกองทุนในสายตาของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศเท่านั้นยังจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้ดีขึ้นด้วย นอกจากนี้ในแง่ของผู้ถือหน่วยลงทุนเดิมก็ยังได้รับผลตอบแทนเฉลี่ยตลอดอายุโครงการไม่ได้ลดลงไปกว่าเดิม โดยTREIT มีนโยบายจ่ายผลตอบแทนไม่น้อยกว่าปีละ 2ครั้งในอัตราไม่น้อยกว่า 90% ของกำไรสุทธิปรับปรุงแล้วซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ต้องการผลตอบแทนที่สม่ำเสมอในระยะยาว" นายอมร กล่าวพร้อมเพิ่มเติมว่า
"แผนการเติบโตของ TREIT ไม่ได้จำกัดแค่การเพิ่มทุนจากทรัพย์สินของกลุ่มไทคอนเท่านั้น แต่ยังเปิดกว้างไปถึงทรัพย์สินที่อยู่นอกกลุ่มด้วยเช่นกัน เพราะบริษัทเป็นผู้จัดการกอง REIT ที่มีการบริหารเชิงรุก (Active Management) ที่มองหาโอกาสในการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ทั้งในประเทศและนอกประเทศอย่างต่อเนื่อง นอกเหนือจากการเพิ่มทุนเพื่อสร้างการเติบโตให้กับ TREIT แล้ว บริษัทยังมองหาโอกาสในการจัดตั้ง REIT เพื่อลงทุนในทรัพย์สินประเภทอื่นด้วยเช่นกัน โดยในระยะแรกนี้โอกาสในการลงทุนบริษัทคงโฟกัสอยู่ในทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศไทยเป็นหลักก่อน
ในภาวะอัตราดอกเบี้ยเงินฝากต่ำเช่นในปัจจุบัน บริษัทยังเชื่อมั่นว่า TREIT ที่ลงทุนในทรัพย์สินที่มีคุณภาพสูงและสามารถจ่ายเงินปันผลในระดับที่ดี และจะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี และแผนการเติบโตของ TREIT คงไม่หยุดเพียงเท่านี้ แต่มีเป้าที่จะเติบโตขึ้นเป็นกองทรัสต์ระดับภูมิภาค มีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิประมาณ 20,000 ล้านบาท ในระยะเวลา 4 ปี ข้างหน้าอีกด้วย" นายอมรกล่าวทิ้งท้าย