กรุงเทพฯ--6 ส.ค.--แบรนด์ เวลท์
เถ้าแก่น้อย เจ้าตลาดสาหร่ายแปรรูป เตรียมขายไอพีโอเพื่อโกอินเตอร์เต็มตัว หลังครองตลาด ไทยกว่า 62% ยอดส่งออกโตแรงจนผลิตไม่ทัน
นายอิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TKN เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีเป้าหมายที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำตลาดผลิตภัณฑ์สาหร่าย แปรรูปอันดับ 1 ในเอเชีย หลังเป็นผู้นำตลาดในประเทศไทยมาโดยตลอด โดยบริษัทฯ เตรียมพร้อมที่จะ เสนอขายหุ้นไอพีโอในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) จำนวน 90 ล้านหุ้นในเร็วๆนี้ โดยมี วัตถุประสงค์ในการระดมทุนเพื่อใช้ในการสร้างโรงงานแห่งใหม่ซึ่งตั้งอยู่ภายในนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ ลงทุนซื้อเครื่องจักรในสายการผลิตใหม่ด้วยเทคโนโลยีการผลิตระดับสากลและเพิ่มเงินทุนหมุนเวียน ของบริษัทฯ เพื่อเพิ่มปริมาณการส่งออกผลิตภัณฑ์อย่างมีนัยยะไปยังตลาดหลักในเอเชีย
"บจม. เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง หรือ TKN เป็นผู้บุกเบิกในการผลิตและจำหน่ายขนมขบ เคี้ยวประเภทสาหร่ายแปรรูปแบบครบวงจร ภายใต้แบรนด์ "เถ้าแก่น้อย" และเป็นผู้นำอันดับ 1 ในตลาดมา โดยตลอด ด้วยส่วนแบ่งตลาดในประเทศสูงถึง 62% โดยผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ 4 ประเภทหลัก ได้แก่ สาหร่ายทอด สาหร่ายเทมปุระ สาหร่ายอบ และสาหร่ายย่าง และบริษัทฯ ได้รุกขยายธุรกิจส่งออกอย่าง ต่อเนื่องในกว่า 35 ประเทศ ทำให้ธุรกิจของบริษัทฯ มีการเติบโตที่มั่นคงและต่อเนื่อง โดยในงวดปี 2557 TKN มีรายได้รวม 2,726 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 199 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 55% เมื่อเทียบกับ ปี 2556 ซึ่งบริษัทฯ มีรายได้รวม 2,721 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 128 ล้านบาท และปี 2555 ซึ่งบริษัทฯ มีรายได้รวม 2,542 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 105 ล้านบาท ส่วนในไตรมาส 1 ปี 2558 TKN มีรายได้รวม 702 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 51 ล้านบาทโดยมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 71% เมื่อเทียบกับ ไตรมาส 1 ปี 2557 ซึ่งบริษัทฯ มีรายได้รวม 578 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 30 ล้านบาท
บริษัทฯ มีวิสัยทัศน์และเป้าหมายที่จะพัฒนาตราสินค้า "เถ้าแก่น้อย" ให้เป็นผู้นำตลาดขนมขบเคี้ยว ในเอเชีย (Asian Brand) ด้วยยอดขาย 5,000 ล้านบาทภายในปี 2561 โดยปัจจุบัน บริษัทฯ มีสัดส่วนรายได้ จากการขายต่างประเทศต่อรายได้จากการขายโดยรวมเติบโตอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2555 เป็นต้นมา โดยมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจาก 31.65 % ในปี 2555 มาเป็น 43.05 % ของยอดขายรวมในปี 2557 ทั้งนี้ เป็นเพราะบริษัทฯ มีการส่งออกสินค้าไปยังตลาดต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะประเทศจีน อินโดนีเซีย และมาเลเซีย จึงส่งผลให้รายได้จากการขายต่างประเทศ มีอัตราการเติบโตสูงกว่ารายได้ จากการขายในประเทศ โดยเฉพาะยอดส่งออกไปประเทศจีน ซึ่งเป็น 1 ในตลาดส่งออกหลักที่มีมูลค่า ตลาดขนมขบเคี้ยวที่สูงที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง โดยบริษัทฯ ได้เล็งเห็นโอกาสการเติบโตอย่างสูง จึงได้ลงทุนสร้างโรงงานเพิ่มอีก เพื่อรองรับการส่งออกโดยเฉพาะ ซึ่งโรงงานใหม่นี้ได้รับสิทธิพิเศษยกเว้น ภาษีจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนสูงถึง 7 ปี ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ สามารถเพิ่มกำลังการผลิต สาหร่ายแปรรูปได้ถึง 100% นอกจากนี้บริษัทฯ ได้จำหน่ายข้าวโพดอบกรอบพรีเมี่ยมภายในชื่อว่า "ต๊อบคอร์น" และข้าวโพดอบกรอบแบบซอง ภายใต้ชื่อว่า "เถ้าแก่ป๊อป" และบริษัทฯ ยังมีแผนการ มุ่งพัฒนาสินค้าสแน็กตัวอื่นๆ ที่แปลกใหม่และตรงต่อความต้องการของผู้บริโภค" นายอิทธิพัทธ์กล่าว
นายเล็ก สิขรวิทย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด ที่ปรึกษาทางการเงิน ของ TKN กล่าวว่า บมจ. เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง หรือ TKN เป็นหุ้นไอพีโอที่บริษัทฯ มีความ ภาคภูมิใจ เนื่องจาก TKN เป็นทั้งผู้บุกเบิกและผู้นำตลาดขนมขบเขี้ยวจากสาหร่ายแปรรูปแบรนด์ เถ้าแก่น้อย ที่มีส่วนแบ่งตลาดในประเทศสูงถึง 62% และที่สำคัญมีโอกาสในการเติบโตในต่างประเทศ อย่างสูง ที่สำคัญภายใต้การนำของคุณอิทธิพัทธ์ และ คณะผู้บริหารมืออาชีพ ซึ่งได้รับการยอมรับอย่างสูง ในการสร้างเติบโตให้กับธุรกิจอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด นอกจากนี้แบรนด์เถ้าแก่น้อยเป็นแบรนด์ ที่มีมูลค่าสูง เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในไทยและตลาดอาเซียน ซึ่งบริษัทฯ สามารถต่อยอดทางธุรกิจได้ เป็นอย่างดี
การระดมทุนในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อลงทุนสร้างโรงงานเพิ่มอีก 1 แห่งเพื่อการผลิตสินค้า เพื่อการส่งออกโดยเฉพาะ เพิ่มเงินทุนหมุนเวียนและปรับโครงสร้าง ทางการเงินให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น โดย ณ สิ้นปี 2557 TKN มีกำไรต่อหุ้น 1.19 บาท และ มีอัตราผลตอบแทน ต่อหุ้น (ROE) สูงถึง 65% และมีอัตรา ผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (ROA) สูง 17% และมีอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนผู้ถือหุ้นเพียง 2.62 เท่า และ คาดว่าจะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี
อนึ่ง ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2558 บมจ. เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง หริอ TKN มีจำนวนทุน จดทะเบียน 345,0000,000 บาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท เป็นทุนที่ชำระแล้วจำนวน 255,000,000 บาท ภายหลังจากการนำเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนจำนวน 90,000,000 หุ้นในครั้งนี้บริษัทฯ จะมีทุน
เรียกชำระเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนเท่ากับ 345,000,000 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 345,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท โดยมีกลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ ประกอบด้วยกลุ่มพีระเดชาพันธ์ ถือหุ้นรวม 100% หลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้แล้วสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายใหญ่จะเปลี่ยน เป็นกลุ่มพีระเดชาพันธ์ถือหุ้น 74% หรือ 255 ล้านหุ้น และประชาชนทั่วไป 26% หรือเท่ากับ 90 ล้านหุ้น โดยการเสนอการขายหุ้นไอพีโอในตลาดหลักทรัพย์ในครั้งนี้ มีบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด เป็นผู้ จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย