กรุงเทพฯ--7 ส.ค.--Vivaldi PR
นีล สตราแคน แบรนด์แอมบาสเดอร์ เดอะ บัลเวนี ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จัดงานสังสรรค์และกิจกรรมการชิมเครื่องดื่มซิงเกิ้ลมอลต์วิสกี้รอบสื่อมวลชน ณ เดอะ พี แอนด์ แอล คลับ กรุงเทพฯ ในเครือของ บริษัท เดอะ แปซิฟิค ซิการ์ (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อนำเสนอแบรนด์ เดอะ บัลเวนี ซิงเกิ้ลมอลต์วิสกี้ระดับพรีเมี่ยมที่มีกระบวนการผลิต โดดเด่นที่สุดของโลก ภายในงาน นีลผู้มีความหลงใหลในสก็อตวิสกี้และศิลปะของเครื่องดื่มมอลต์ระดับพรีเมี่ยมได้ร่วมแบ่งปันเรื่องราวและมรดกทางภูมิปัญญาระดับสูงในการผลิตวิสกี้แบบดั้งเดิม ซึ่งทำให้ เดอะ บัลเวนี กลายเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมของนักดื่มระดับสูงและผู้ที่หลงใหลในรสชาติอันประณีตของสก็อตวิสกี้ทั่วโลก
ภายในงานยังมีการจัดกิจกรรมชิมซิงเกิ้ลมอลต์วิสกี้ของ เดอะ บัลเวนี 3 รุ่น ได้แก่ เดอะ บัลเวนี ดับเบิ้ลวู้ด 12 ปี ซึ่งตั้งชื่อตามการหมักบ่มในถังไม้สองชนิด เพื่อให้เกิดกลิ่นหอมติดจมูกของเชอร์รี่ และมอบรสชาติที่หวานนุ่มลื่นคอของเมล็ดถั่วและซินนาม่อนอันหอมหวาน ต่อมาคือ เดอะ บัลเวนี แคร์ริบเบี้ยน คาสก์ 14 ปี รุ่นยอดนิยมซึ่งผลิตในถังบ่มที่เคยใช้บรรจุเหล้าแคร์ริบเบี้ยนรัม จึงให้กลิ่นที่หอมหวานเข้มข้น พร้อมรสชาติของโอ๊คและวานิลลาที่บางเบา และรุ่นสุดท้ายคือ เดอะ บัลเวนี ดับเบิ้ลวู้ด 17 ปี ซึ่งหมักบ่มในถังไม้โอ๊คอเมริกาและถังไม้เชอร์รี่ยุโรป ทำให้เกิดรสชาติที่ซับซ้อนอย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งรสชาติของเชอร์เบ็ต ท็อฟฟี่ครีม และอัลมอนด์อบ โดยให้รสหวานของน้ำผึ้งหอมเครื่องเทศติดปลายลิ้น แม้ เดอะ บัลเวนี แต่ละรุ่นมีกลิ่นและรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ หากยังคงไว้ซึ่งลักษณะเด่นร่วมกัน นั่นคือรสชาติที่เข้มข้น ความนุ่มลื่นคออย่างมีระดับ และความหอมหวานที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร
ปัจจุบัน กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีความต้องการผลิตภัณฑ์สก็อตวิสกี้เพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคมีรสนิยมที่พิถีพิถันและต้องการสัมผัสกับซิงเกิ้ลมอลต์ระดับคุณภาพมากยิ่งขึ้น เดอะ บัลเวนี คือมอลต์วิสกี้ที่ยังคงผลิตด้วยแรงงานช่างฝีมือใน เดอะ บัลเวนี คาสเซิ่ล ซึ่งใช้เป็นโรงกลั่นมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1893 โดยใช้กระบวนการผลิตแบบดั้งเดิม เพื่อสร้างรสชาติที่หอมหวานอย่างมีเอกลักษณ์และให้รสสัมผัสที่ดีเยี่ยมไม่เปลี่ยนแปลงจวบจนปัจจุบัน โดย นีล สตราแคน อธิบายว่า เดอะ บัลเวนี เป็นซิงเกิ้ลมอลต์วิสกี้ที่โดดเด่นที่สุดในโลก เนื่องจากใช้ “ศิลปะ 5 แขนงที่หาได้ยากยิ่งในปัจจุบัน” ได้แก่ การเพาะปลูกข้าวบาร์เล่ย์ในฟาร์มของตนเองซึ่งอยู่ติดกับโรงกลั่น การเพาะมอลต์ด้วยกรรมวิธีดั้งเดิมเพื่อเพิ่มความซับซ้อนของรสชาติ การดูแลหม้อกลั่นด้วยช่างผลิตหม้อทองแดงของโรงงานเพื่อสร้างวิสกี้ที่มีรสชาติหวานนุ่มลื่นคอ การใช้ถังหมักที่ผลิตเองด้วยช่างฝีมือระดับสูงเพื่อสร้างเครื่องดื่มที่มีรสชาติโดดเด่นอย่างมีเอกลักษณ์ และสุดท้าย เดวิด สจ๊วร์ต มอลต์มาสเตอร์ ซึ่งเป็นผู้ทดสอบรสชาติ เพื่อรับรองความสมบูรณ์แบบของเครื่องดื่มสปิริตที่กรุ่นกลิ่นหอมอันเย้ายวนอันเกิดจากการหมักบ่มในถังไม้ตามระยะเวลาที่เหมาะสม โดยการผลิตแต่ละขั้นตอนได้รับการเอาใจใส่อย่างพิถีพิถัน จนทำให้ เดอะ บัลเวนี ครองใจนักดื่มวิสกี้ระดับสูงทั่วโลก
นีล สตราแคน อธิบายว่า “กรุงเทพฯ มีชื่อเสียงทั้งในด้านแหล่งสังสรรค์ยามราตรีและศูนย์รวมความบันเทิงชั้นนำ ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เปี่ยมเสน่ห์ที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ทั้งยังมีอัตราเงินสะพัดจากการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นและประกอบด้วยกลุ่มผู้บริโภคที่เริ่มให้ความสำคัญกับรสนิยมในการเลือกสรรสิ่งที่ดีแก่ชีวิต รวมถึงนักดื่มที่พิถีพิถันในรสชาติ ซึ่งล้วนต้องการเครื่องดื่มทางเลือกใหม่ที่นอกเหนือจากเครื่องดื่มทั่วไป โดย เดอะ บัลเวนี เป็นมอลต์วิสกี้ที่ โด่งดังในหมู่นักดื่มทั่วโลกในฐานะซิงเกิ้ลมอลต์ระดับพรีเมี่ยมที่ยังคงผลิตด้วยแรงงานช่างฝีมือด้วยกระบวนการแบบดั้งเดิม ซึ่งในวันนี้ สื่อมวลชนทุกท่านได้มาสัมผัสกับรสนิยมอันเป็นเอกลักษณ์และรสชาติชั้นเลิศ ตลอดจนรับรู้ถึงศิลปะ 5 แขนงที่หาได้ยากยิ่งในการผลิต เดอะ บัลเวนี ซิงเกิ้ลมอลต์วิสกี้ ดังนั้น นี่จึงเป็นโอกาสดีที่ผมได้มาร่วมแบ่งปัน องค์ความรู้เกี่ยวกับมรดกทางภูมิปัญญาของ เดอะ บัลเวนี ในกรุงเทพฯ แหล่งรวมนักดื่มผู้มีระดับที่แสวงหาองค์ความรู้และเปี่ยมด้วยความหลงใหลในวิสกี้ของเมืองไทย”
ซิงเกิ้ลมอลต์สก็อตวิสกี้ เดอะ บัลเวนี ผลิตโดย วิลเลียมแกรนท์แอนด์ซันส์ โรงกลั่นเครื่องดื่มชั้นเลิศซึ่งได้รับรางวัลอันทรงเกียรติระดับโลกมาแล้วมากมาย ก่อตั้งโดย วิลเลียม แกรนท์ เมื่อปี ค.ศ. 1886 ปัจจุบันยังคงดำเนินธุรกิจในรูปแบบครอบครัวและบริหารงานโดยทายาทของตระกูล โดยวิลเลียมแกรนท์แอนด์ซันส์พร้อมนำเสนอมอลต์วิสกี้ชั้นเยี่ยมระดับโลก สู่ผู้บริโภคในเมืองไทยแล้วในวันนี้ เพื่อตอบสนองความต้องการต่อเครื่องดื่มสปิริตนำเข้าระดับพรีเมี่ยมที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง