กรุงเทพฯ--10 ส.ค.--ซีเค พาวเวอร์
นายธนวัฒน์ ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) (CKP) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของ CKP และบริษัทย่อย ในไตรมาสที่ 2/2558 ว่า CKP มีผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้รวม 1,712 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2 ของปีก่อนหน้านี้กว่า 11% มีกำไรก่อนหักค่าใช้จ่ายทางการเงิน ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) 1,459 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 17% และมีกำไรสุทธิ 131 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 270%
ปัจจัยหลักที่ทำให้ผลประกอบการเติบโตค่อนข้างสูงในไตรมาสนี้ มาจากปริมาณน้ำที่ไหลเข้าเขื่อนน้ำงึม 2 มากขึ้น ทำให้สามารถจ่ายไฟฟ้ามากขึ้นกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังต้องจับตาดูผลกระทบของปรากฎการณ์เอลนีโญ่ที่อาจจะมีผลต่อปริมาณน้ำฝนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
นอกจากนี้ ผลประกอบการที่ดีขึ้น เพราะโรงไฟฟ้าโคเจนเนอเรชั่น โครงการ 1 (BIC-1) มีผลกำไรที่ดีขึ้น เนื่องจากราคาก๊าซธรรมชาติที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับผลิตไฟฟ้าปรับตัวลดลง อีกทั้ง ปริมาณการขายไฟฟ้ายังปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องโดยเฉพาะการขายให้โรงงานในนิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน
สำหรับผลประกอบการในครึ่งปีแรกของปี 2558 CKP มีรายได้รวม 3,358 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 215 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากครึ่งปีแรกของปี 2557 คิดเป็น 36%
นายธนวัฒน์กล่าวว่า แม้ว่าขณะนี้เศรษฐกิจทั้งภายในประเทศและทั่วโลกยังคงชะลอตัว แต่บริษัทมีความมั่นใจต่อผลการดำเนินงานของบริษัทว่ามีความมั่นคงและยั่งยืนเพราะทุกโครงการที่บริษัทเปิดดำเนินการอยู่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวรองรับ ขณะเดียวกัน บริษัทยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างอีก 2 โครงการ ได้แก่ โรงไฟฟ้า บางปะอิน โคเจนเนอเรชั่น โครงการ 2 (BIC-2) ขนาดกำลังการผลิต 120 เมกะวัตต์ ที่เริ่มดำเนินการก่อสร้างตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา และมีความคืบหน้าการก่อสร้างเป็นไปตามแผน โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์กลางปี 2560 ซึ่ง โครงการ BIC-2 จะสร้างรายได้ให้ CKP ปีละประมาณ 3,000 ล้านบาท และ โครงการไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี ซึ่งบริษัทได้เข้าซื้อจากบริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) (CK) เมื่อเดือนมิถุนายน 2558 และขณะนี้ดำเนินการก่อสร้างได้แล้วเสร็จเกือบ 50% ทั้งนี้ โครงการไซยะบุรี ตั้งอยู่ในสปป.ลาว มีกำลังการผลิต 1,285 เมกะวัตต์ และจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ปลายปี 2562 และจะสร้างรายได้ถึงปีละกว่า 15,000ล้านบาท
นายธนวัฒน์ กล่าวว่า เมื่อโครงการทั้งสองเริ่มขายไฟฟ้า จะทำให้กำลังการผลิตไฟฟ้าของบริษัทและบริษัทในเครือเพิ่มจาก 755 เมกะวัตต์ เป็น 2,160 เมกะวัตต์ และจากการเพิ่มทุนของบริษัทเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ทำให้ CKP มีความพร้อมด้านการเงินมากยิ่งขึ้น และแม้ CKP จะเพิ่ง IPO ได้เพียง 2 ปี บริษัทก็ได้รับการคัดเลือกเป็นหลักทรัพย์ที่ถูกนำเข้ามาคำนวณในดัชนี SET100 ในช่วงครึ่งหลังของปี 2558
“ด้วยศักยภาพและประสบการณ์ของบุคคลากรและความพร้อมทางการเงิน บริษัทยังคงมุ่งมั่นพัฒนาและศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนโครงการที่ดีและมีศักยภาพอื่นๆ อีก เพื่อสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงและยั่งยืนให้แก่ผู้ถือหุ้น ประเทศและประโยชน์ของส่วนรวมด้วย” นายธนวัฒน์กล่าว
อนึ่ง CKP ดำเนินธุรกิจในลักษณะ Holding Company และลงทุนในบริษัทที่ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานประเภทต่างๆ 3 ประเภท ประกอบด้วย โครงการไฟฟ้าพลังน้ำ โครงการไฟฟ้าโคเจนเนอเรชั่นที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง และโครงการไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ โดยมีบริษัทย่อยประกอบด้วย บริษัท เซาท์อีสท์ เอเชีย เอนเนอร์จี จำกัด (SEAN) ถือหุ้น 56% บริษัท ไซยะบุรี พาวเวอร์ จำกัด (XPCL) ถือหุ้น 30% บริษัท บางปะอิน โคเจนเนอเรชั่น จำกัด (BIC) ถือหุ้นอยู่ 65% บริษัท บางเขนชัย จำกัด (BKC) ถือหุ้น 100% บริษัท เชียงราย โซล่าร์ จำกัด (CRS) ถือหุ้น 30% และ บริษัท นครราชสีมา โซล่าร์ จำกัด (NRS) ถือหุ้น 30%