กรุงเทพฯ--11 ส.ค.--พลัส พร็อพเพอร์ตี้
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เผยภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ครึ่งปีแรก พบโครงการเปิดตัวน้อยลง 21% แต่ราคาเฉลี่ยโครงการใหม่เพิ่มขึ้น 35% เนื่องจากผู้ประกอบการหันมาเปิดโครงการระดับราคาปานกลางถึงสูงมากขึ้น สำหรับอัตราการขายโครงการใหม่อยู่ที่ 61% ใกล้เคียงกับครึ่งปีหลังของปีที่ผ่านมาที่ 60% พื้นที่ฮอตขายดีสุดคือกรุงเทพฯ ชั้นกลาง เช่น พระโขนง-อ่อนนุช (ตอนต้น), รัชดา-ลาดพร้าว และจตุจักร-บางซื่อ ด้วยยอดขายสูงถึง 87% ส่วนครึ่งปีหลังมองแนวโน้มคอนโดฯ ไม่หวือหวา แต่คอนโดหรูราคาสูงยังคึกคักตามกำลังซื้อลูกค้าระดับบนที่ยังดีต่อเนื่อง
นายภูมิภักดิ์ จุลมณีโชติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า “ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ครึ่งปีแรก (2558) ที่ผ่านมาในกรุงเทพฯ มีโครงการคอนโดมิเนียมเปิดใหม่ทั้งสิ้น 44 โครงการ จำนวน 20,052 ยูนิต ลดลง 21% จากครึ่งปีหลังของปี 2557 ที่มีการเปิดตัว 56 โครงการ จำนวน 22,491 ยูนิต โดยอุปสงค์ของครึ่งปีแรกอยู่ที่ 12,165 ยูนิต หรือคิดเป็นอัตราการขายที่ 61% ด้านราคาเฉลี่ยของโครงการเปิดใหม่ปรับเพิ่มขึ้น 35% จาก 97,000 บาท/ตารางเมตร มาเป็น 131,000 บาท/ตารางเมตร
โดยช่วงราคาขายที่ 100,000-200,000 บาทต่อตารางเมตร มีอัตราการขายดีที่สุดถึง 84% รองลงมาคือมากกว่า 200,000 บาทต่อตารางเมตร มีอัตราการขายที่ 60% ส่วนระดับราคาต่ำกว่า 100,000 บาทต่อตารางเมตร มีอัตราการขายน้อยที่สุดที่ 49%
หากพิจารณาแบ่งตามพื้นที่ในแต่ละโซน พบโซนกรุงเทพฯ ชั้นกลาง เช่น พระโขนง-อ่อนนุช (ตอนต้น), รัชดา-ลาดพร้าว และจตุจักร-บางซื่อ ขายดีที่สุด ด้วยอัตราการขายสูงถึง 87% เนื่องจากเดินทางสะดวกมีรถไฟฟ้า/รถไฟใต้ดินพาดผ่าน ที่สำคัญราคาไม่สูงมากเหมือนโซนกรุงเทพฯชั้นใน มีตลาดเช่ารองรับอัตราผลตอบแทนจากการเช่าสูงกว่าโซนกรุงเทพฯ ชั้นใน ฐานลูกค้าไม่จำกัดเพราะมีทั้งลูกค้าที่ใช้เงินสดและเงินกู้ซื้อ เป็นผู้มีรายได้และมีศักยภาพในการชำระหนี้ทำให้สถาบันทางการเงินยังคงสนับสนุนการปล่อยสินเชื่อให้อย่างต่อเนื่อง รองลงมาคือโซนกรุงเทพฯ ชั้นใน ได้แก่ พระราม 4-สีลม-สาทร, ราชเทวี-พญาไท, อโศก-เพชรบุรี และสุขุมวิทตอนต้น มีอัตราการขายที่ 60% ส่วนโซนกรุงเทพฯ ชั้นนอก เช่น บางนา ธนบุรี และ ดอนเมือง-มีนบุรี มีอัตราการขายที่ 46%
อย่างไรก็ตามในส่วนของโครงการที่อยู่พื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นในแม้ไม่ได้มีอัตราการขายที่ดีที่สุด แต่มีหลายโครงการที่ประสบความสำเร็จขายหมดได้ภายในไม่กี่วันหลังเปิดขายเช่น เดอะโมนูเมนต์ สนามเป้า ของแสนสิริ, นิมิต หลังสวน ของเพซ ดีเวลลอปเมนท์, คลาส สยาม และ แอชตัน เรสซิเดนซ์ 41 ของอนันดา ดีเวลลอปเมนท์ เป็นต้น ซึ่งประเมินได้ว่าสถานการณ์ตลาดคอนโดหรูยังเติบโตได้ดีและเป็นที่ต้องการของตลาดอยู่ ส่วนสาเหตุที่ทำให้อัตราการขายโดยรวมไม่สูงมาก น่าจะมีสาเหตุมาจากบางโครงการที่เปิดขายมาแล้ว สินค้าไม่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นขนาดของห้องชุด การเลือกใช้วัสดุ หรือการออกแบบ หรือชื่อเสียงของผู้ประกอบการ เป็นต้น ทั้งนี้สังเกตได้ว่าปัจจุบันผู้บริโภคมีความละเอียดมากขึ้นในการเลือกซื้อคอนโดมิเนียม ดังนั้นผู้ประกอบการจะต้องทำการบ้านให้เป็นอย่างดีก่อนจะนำเสนอโครงการออกขาย หากทำแล้วตอบโจทย์ก็จะขายหมดโดยเร็วเหมือนอย่าง 4-5 โครงการข้างต้น
“แนวโน้มของอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมครึ่งปีหลัง คาดว่ายังคงไปได้แต่ไม่หวือหวา เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศที่มีการฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป อย่างไรก็ตาม โครงการระดับราคาสูงน่าจะขายดีที่สุด เนื่องจากลูกค้ายังมีกำลังซื้อและความต้องการเพิ่มต่อเนื่อง ตลอดจนเป็นการลงทุนระยะยาวและซื้อไว้เพื่อเป็นมรดก รวมถึงโครงการที่อยู่ในโซนนี้เริ่มหายากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้มีความต้องการของการอยู่อาศัยจริงและการซื้อเก็บไว้ อีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญคือการออกแบบโครงการต้องสอดคล้องกับความต้องการในแต่ละโซน เพราะโซนที่เป็นที่นิยมของการเช่าและโครงการที่เป็นที่นิยมของเจ้าของอยู่อาศัยเองจะมีรูปแบบที่แตกต่างกัน ถ้าผู้ประกอบการทำโครงการออกมาตอบโจทย์ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะประสบความสำเร็จ” นายภูมิภักดิ์กล่าว