กรุงเทพฯ--11 ส.ค.--แสนสิริ
แสนสิริ ปิดการขาย “เดอะ ไลน์ สุขุมวิท71” ต่อจาก เดอะ ไลน์ จตุจักร-หมอชิตปิดการขาย 100% ทันทีในวันพรีเซลล์ต่อเนื่องเป็นโครงการที่ 3 ในปีนี้โกยยอดขายจากตลาดต่างชาติ ฮ่องกง – สิงคโปร์-ไต้หวัน เฉียด 1,000 ลบ.ส่งผลยอดขายแสนสิริ พุ่งทะลุ 18,000 ล้านบาท
แสนสิริปิดการขาย เดอะ ไลน์ สุขุมวิท 71 โครงการที่สองภายใต้ความร่วมมือระหว่างแสนสิริ – บีทีเอส ต่อเนื่องจากโครงการเดอะ ไลน์ จตุจักร – หมอชิต และนับเป็นโครงการที่ 3 ของแสนสิริในปีนี้ที่สามารถปิดการขายได้ทันทีในวันพรีเซลล์ เผยโกยยอดขายจากตลาดต่างชาติ ฮ่องกง – สิงคโปร์ – ไต้หวัน ได้เกือบ 1,000 ล้านบาท เกินเป้าโควต้าผู้ซื้อต่างชาติที่วางไว้ ขณะที่กลุ่มลูกค้าชาวไทยเชื่อมั่นและให้การตอบรับดีในวันพรีเซลส์ 8-9 ส.ค.ที่ผ่านมาจนสามารถปิดการขายโครงการจำนวน 291 ยูนิต มูลค่า 2,000 ล้านบาทได้ทันทีในวันพรีเซลล์ ส่งผลให้ยอดขายของแสนสิริพุ่งสูงไปแล้วถึง 18,000 ล้านบาท “แนวโน้มของอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมครึ่งปีหลัง คาดว่ายังคงไปได้แต่ไม่หวือหวา เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศที่มีการฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป อย่างไรก็ตาม โครงการระดับราคาสูงน่าจะขายดีที่สุด เนื่องจากลูกค้ายังมีกำลังซื้อและความต้องการเพิ่มต่อเนื่อง ตลอดจนเป็นการลงทุนระยะยาวและซื้อไว้เพื่อเป็นมรดก รวมถึงโครงการที่อยู่ในโซนนี้เริ่มหายากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้มีความต้องการของการอยู่อาศัยจริงและการซื้อเก็บไว้ อีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญคือการออกแบบโครงการต้องสอดคล้องกับความต้องการในแต่ละโซน เพราะโซนที่เป็นที่นิยมของการเช่าและโครงการที่เป็นที่นิยมของเจ้าของอยู่อาศัยเองจะมีรูปแบบที่แตกต่างกัน ถ้าผู้ประกอบการทำโครงการออกมาตอบโจทย์ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะประสบความสำเร็จเดินหน้าเปิดตัวคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ เดอะ ไลน์ ตามแผนในปีนี้ต่อเนื่องทันที “แนวโน้มของอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมครึ่งปีหลัง คาดว่ายังคงไปได้แต่ไม่หวือหวา เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศที่มีการฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป อย่างไรก็ตาม โครงการระดับราคาสูงน่าจะขายดีที่สุด เนื่องจากลูกค้ายังมีกำลังซื้อและความต้องการเพิ่มต่อเนื่อง ตลอดจนเป็นการลงทุนระยะยาวและซื้อไว้เพื่อเป็นมรดก รวมถึงโครงการที่อยู่ในโซนนี้เริ่มหายากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้มีความต้องการของการอยู่อาศัยจริงและการซื้อเก็บไว้ อีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญคือการออกแบบโครงการต้องสอดคล้องกับความต้องการในแต่ละโซน เพราะโซนที่เป็นที่นิยมของการเช่าและโครงการที่เป็นที่นิยมของเจ้าของอยู่อาศัยเองจะมีรูปแบบที่แตกต่างกัน ถ้าผู้ประกอบการทำโครงการออกมาตอบโจทย์ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะประสบความสำเร็จ
นายอุทัย อุทัยแสงสุข รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาคอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า บริษัทสามารถปิดการขายโครงการ “เดอะ ไลน์ สุขุมวิท 71” (THE LINE S UKHUMVIT71) จำนวน 291 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 2,000 ล้านบาทที่พัฒนาภายใต้ บริษัท บีทีเอส แสนสิริ โฮลดิ้ง ทรี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง SIRI และ BTS ในสัดส่วน 50 : 50 ทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท โดยบริษัทได้เปิดการขาย โครงการ เดอะ ไลน์ สุขุมวิท 71 สำหรับชาวต่างชาติพร้อมกันใน 3 ประเทศ ได้แก่ ฮ่องกง สิงคโปร์และไต้หวันในวันที่ 1-2 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งปรากฎว่ามีลูกค้าชาวต่างชาติเข้าร่วมงานโรดโชว์ถึงกว่า 1,500 คน และให้ความสนใจโครงการเกินจากเป้าโควต้าที่วางขายไว้ในต่างประเทศจนต้องเพิ่มจำนวนยูนิตในการเปิดขาย สำหรับเหตุผลที่มีลูกค้าต่างชาติให้ความสนใจจำนวนมาก เกิดจากการที่นักลงทุนในทั้ง 3 ประเทศรู้จักประเทศไทยเป็นอย่างดีและมองว่าการลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรุงเทพฯ มีต้นทุนในการลงทุนน้อย ขณะที่ให้ผลตอบแทนจากค่าเช่าถึง 5-7% ซึ่งมากกว่าการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในประเทศอื่นที่มีราคาอสังหาริมทรัพย์สูงกว่าประเทศไทยถึง 2 - 4 เท่า โดยเอเจนท์ต่างชาติยังระบุว่า แสนสิริเป็นบริษัทอสังหาฯ ไทยรายแรกที่สร้างสถิติยอดขายสูงสุดในวันพรีเซลส์เพียง 2 วันเท่านั้น
ขณะที่ลูกค้าคนไทยให้ความสนใจโครงการเดอะ ไลน์ สุขุมวิท 71 จากการเปิดขายพรีเซลล์ในวันที่ 8 – 9 สิงหาคมที่ผ่านมา จากความสำเร็จด้านจุดเด่นของโครงการซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมแบบไฮไรซ์ Fully Furnished ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Opportunity is Everything, Location is Everything” โอกาสทางธุรกิจและที่อยู่อาศัยในอนาคต ด้วยศักยภาพโครงการที่ใกล้สถานี BTS พระโขนงเพียง 400 เมตร และเส้นทางต่างๆ ที่เชื่อมต่อโซนสำคัญได้รอบด้าน รวมทั้งยังเป็นแหล่งรวมไลฟ์สไตล์แห่งใหม่ย่านเอกมัยและทองหล่อ จนส่งผลให้ปิดการขายโครงการมูลค่ารวม 2,000 ล้านบาทในที่สุด นับเป็นโครงการที่ 3 ของแสนสิริในปีนี้ที่สามารถปิดการขายได้ทันทีในวันพรีเซลล์ ส่งผลให้ยอดขายของแสนสิริในขณะนี้ พุ่งสูงไปถึง 18,000 ล้านบาทในขณะนี้ โดยหลังจากนี้จะเดินหน้าเปิดตัวคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ THE LINE (เดอะ ไลน์) ตามแผนต่อเนื่องทันที
สำหรับ แนวโน้มของคอนโดมิเนียมในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่ายังคงเติบโตได้ดีตามสภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศที่มีการฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยคอนโดมิเนียมระดับราคาบนยังคึกคักตามกำลังซื้อของลูกค้าที่ดีต่อเนื่อง เนื่องจากลูกค้ายังมีกำลังซื้อและความต้องการ รวมทั้งยังเป็นการลงทุนระยะยาวและซื้อไว้เพื่อเป็นมรดก สำหรับปัจจัยที่สำคัญที่จะทำให้การพัฒนาโครงการประสบความสำเร็จ คือศักยภาพของทำเลและการออกแบบโครงการที่ตอบรับความต้องการของลูกค้า ซึ่งแสนสิริยังคงมุ่งมั่นพัฒนาโครงการในทำเลที่มีศักยภาพและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในช่วงครึ่งปีหลังโดยเตรียมจะเปิดตัวโครงการใหม่ในเร็วๆ นี้” นายอุทัย กล่าว