กรุงเทพฯ--11 ส.ค.--อินโดรามา เวนเจอร์ส
บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ ไอวีแอล ผู้ผลิตโพลีเมอร์แบบครบวงจรชั้นนำระดับโลก ประกาศผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2 มีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 61.2 พันล้านบาทและมีปริมาณการผลิต 1.8 ล้านตันจากอัตราการใช้กำลังการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้นและปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากกิจการที่เข้าซื้อ
ขนาดและโมเดลทางธุรกิจของไอวีแอลเอื้อให้บริษัทฯ เป็นองค์กรระดับโลกและมีการบริหารจัดการที่มุ่งเน้นความเป็นเลิศและการกำกับดูแลกิจการในวิถีแห่งความยั่งยืน ไอวีแอลแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวแม้ในช่วงที่อุตสาหกรรมเผชิญกับความท้าทาย โดยรายงานกำไรหลักก่อนหักภาษีและส่วนได้เสียที่ไม่มีอำนาจควบคุมอยู่ที่ 7.2 พันล้านบาทในรอบ 12 เดือนย้อนหลังสิ้นสุดไตรมาสที่ 2 ปี 2558 และรอบการดำเนินงานดังกล่าว ไอวีแอลมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่งอยู่ที่ 24.8 พันล้านบาทและมีปริมาณการผลิตสูง 6.6 ล้านตัน
ไอวีแอลมุ่งมั่นที่จะสร้างความแตกต่างและประสบความสำเร็จในการพัฒนากลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีความเฉพาะ ยากที่บริษัทคู่แข่งจะลอกเลียนแบบได้ เรายังคงรักษาความใกล้ชิดในชีวิตประจำวันของผู้บริโภค ดังนั้นจึงสามารถปรับตัวได้ดีกว่าในภาวะที่อุตสาหกรรมมีความไม่แน่นอน กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม (HVA) ของไอวีแอลสร้างรายได้ 81.2 พันล้านบาทในรอบ 12 เดือนย้อนหลังสิ้นสุดไตรมาสที่ 2 ปี 2558 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 34.8 ของรายได้รวม ซึ่งเติบโตจากร้อยละ 30.5 จากงวดก่อน ในขณะเดียวกันไอวีแอลมีการเติบโตด้านขนาด โดยมีปริมาณการผลิตรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.5 กลุ่มประเทศ BRIC ซึ่งประกอบด้วย บราซิล รัสเซีย อินเดียและจีน ยังคงมีการเติบโตน้อยกว่าตลาด เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวประกอบกับกำลังการผลิตส่วนเกินของผลิตภัณฑ์ที่จำเป็น (Necessities) กำลังการผลิต PTA ใหม่ที่เกิดขึ้นในประเทศอินเดียในช่วงครึ่งแรกของปี 2558 ส่งผลให้สถานการณ์การฟื้นตัวของกำไร PTA ชะลอตัวและส่งผลต่อกำไรของผลิตภัณฑ์ปลายน้ำ คาดว่าสถานการณ์นี้จะยังคงต่อเนื่องไปจนถึงปลายปี 2558
กำไรหลักสุทธิก่อนหักภาษีเงินได้ในไตรมาสที่ 2 ปี 2558 เติบโตขึ้นร้อยละ 27.7 จากปี 2557 อยู่ที่ 2.3 พันล้านบาทในขณะที่อัตรากำไรต่อหุ้นในไตรมาสนี้เพิ่มขึ้นอย่างมากอยู่ที่ 1.04 บาทจากเดิม 0.30 บาทในไตรมาสเดียวกันปีก่อน บริษัทฯ ประกาศอัตราเงินปันผลระหว่างกาลอยู่ที่ 0.24 บาทต่อหุ้น
นายอาลก โลเฮีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทฯ กล่าว การขยายการดำเนินธุรกิจไปยังกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มูลค่าเพิ่มและผลิตภัณฑ์ชนิดพิเศษผ่านการวิจัยและพัฒนาจะช่วยให้บริษัทฯ มีกำไรเพิ่มขึ้น
"เรามีการมุ่งเน้นในเรื่องที่กลายเป็นกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เรามีการเพิ่มกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม (HVA) ซึ่งปัจจุบันคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 22 ของปริมาณการผลิตและร้อยละ 45 ของกำไรหลักก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (Core EBITDA)" นายโลเฮียกล่าว "ปัจจุบันเรามีผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มในกลุ่มผลิตภัณฑ์ของเรา ครอบคลุมอุตสาหกรรมยานยนต์ ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัย ผลิตภัณฑ์สำหรับการใช้งานในอุตสาหกรรมและกลุ่มบรรจุภัณฑ์ โดยผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มเหล่านี้ส่งผลให้บริษัทฯ มี Core EBITDA เติบโตอย่างมากในรอบ 12 เดือนย้อนหลังอยู่ที่ร้อยละ 31 เมื่อเทียบกับปีก่อน"
ธุรกิจของบริษัทฯ ในอเมริกาเหนือยังคงมีความแข็งแกร่ง โดยมี Core EBITDA ในรอบ 12 เดือนย้อนหลังอยู่ที่ 327 ล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วงครึ่งหลังของปี 2558 คาดว่า ปริมาณการผลิตในภูมิภาคจะเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากมีปริมาณการผลิตเพิ่มเติมจากการเสร็จสิ้นการเข้าซื้อกิจการโรงงาน PTA ในประเทศแคนาดาในไตรมาสที่ 2 ปี 2558
ไอวีแอลมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 1 ล้านตัน ส่งผลให้มีกำลังการผลิตรวม 8.5 ล้านตันภายหลังการเข้าซื้อกิจการในปี 2558 และคาดว่าจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 700,000 ตันในช่วงครึ่งหลังของปีจากการเข้าซื้อกิจการตามแผนการลงทุน