กรุงเทพฯ--13 ส.ค.--เจซีแอนด์โค พับลิครีเลชั่นส์
กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม รุกขับเคลื่อนอุตสาหกรรมแฟชั่นไทย นำทัพผู้ประกอบการแฟชั่นไทย 47 ราย อวดศักยภาพในงานฮ่องกงแฟชั่นวีค (Hong Kong Fashion Week for Spring/Summer 2015) ซึ่งจัดโดยองค์กรสภาพัฒนาการค้าฮ่องกง (Hong Kong ) เมื่อเร็วๆ นี้ ณ Hong Kong Convention and Exhibition Center เพื่อส่งเสริมสินค้าแบรนด์ไทยไปแสดงศักยภาพในตลาดต่างประเทศ โดยนำผู้ประกอบการในสาขาอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม เครื่องหนังและรองเท้าที่เข้าโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ไปเปิดตลาดและเจรจาธุรกิจในเวทีระดับนานาชาติ ภายใต้แนวคิด "ดี สเปซ" (D Space) ดีไซน์ (Design) ดีเวลลอป (Developed by DIP) เพื่อเผยแพร่ภาพลักษณ์อุตสาหกรรมแฟชั่นไทยให้เป็นที่รู้จัก และเป็นที่ยอมรับในวงการแฟชั่น ระดับภูมิภาค ตามยุทธศาสตร์การส่งเสริมธุรกิจอุตสาหกรรมให้เกิดการเชื่อมโยงกับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และอาเซียน+ 3 ทั้งนี้ จากการเข้าร่วมงาน มียอดสั่งซื้อในงานกว่า 10 ล้านบาท และ ยังมียอดการสั่งซื้อเข้ามาอีกอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงไตรมาสแรกของปี 2558 (มกราคม - มีนาคม) อุตสาหกรรมแฟชั่นสามารถส่งออกโดยตรงได้กว่า 1.6 แสนล้านบาท แต่หากรวมยอดจำหน่ายให้กับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ การค้าชายแดนที่ไม่ผ่านด่านศุลกากร รวมถึงที่พ่อค้าชาวต่างประเทศเข้ามาเลือกซื้อไปจำหน่ายต่อ ซึ่งมูลค่าในส่วนนี้สูงหลายหมื่นล้านบาท ดังนั้น การดำเนินโครงการพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมแฟชั่นไทยจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยผลักดัน ประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางแฟชั่นของอาเซียนในการเป็นแหล่งผลิตวัสดุหรือวัตถุดิบที่ใช้ผลิตผลิตภัณฑ์แฟชั่นและเป็นแหล่งช้อปปิ้งสินค้าแฟชั่นของภูมิภาค
นายอาทิตย์ วุฒิคะโร อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า ปัจจุบันอุตสาหกรรมแฟชั่นมีการแข่งขันสูงทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) ในฐานะหน่วยงานหลักในการส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมแฟชั่นไทย จึงเข้ามามีส่วนในการกระตุ้นให้ผู้ประกอบการไทยมีการพัฒนาตนเอง ผ่านโครงการ "พัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมแฟชั่นไทย" ประจำปีงบประมาณ 2558 โดยพยายามสร้างปัจจัยเอื้อต่อธุรกิจแฟชั่น อาทิ การจัดประกวดผลงานออกแบบ การเพิ่มผลิตภาพการผลิต การพัฒนานวัตกรรมการออกแบบให้ตรงกับความต้องการของตลาดเป้าหมาย การสร้างเสริมปัจจัยที่จะก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มต่อสินค้าแฟชั่นแบรนด์ไทย ทั้งในเชิงการสร้างเอกลักษณ์ ของสินค้า สร้างการจดจำตราสินค้าให้แบรนด์ไทยสามารถแข่งขันได้ อันจะนำไปสู่การรับรู้ จดจำและเป็นที่ยอมรับในวงการแฟชั่นและคนทั่วไป ในภาพรวมอุตสาหกรรมแฟชั่นของประเทศไทยนั้น มีความได้เปรียบนานาประเทศในหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะทักษะฝีมือที่อุตสาหกรรมแฟชั่นไทยมีช่างฝีมือที่มีความความเชี่ยวชาญด้านการผลิตมาอย่างยาวนาน ความพร้อมด้านวัตถุดิบ ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ที่มีรูปแบบเฉพาะของแต่ละย่านการค้าแฟชั่น ทำให้นักท่องเที่ยวสามารถเลือกซื้อสินค้าแฟชั่นได้ตามรสนิยมและความต้องการของแต่ละคน เช่น ย่านจตุจักร ประตูน้ำ โบ้เบ้ สยาม สุขุมวิท สำเพ็ง เป็นต้นตลอดจนการเป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ของอาเซียน ทำให้อุตสาหกรรมแฟชั่นไทยทั้งสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม เครื่องหนังและรองเท้ามีความโดดเด่นและเป็นที่ยอมรับของลูกค้าทั้งระดับในประเทศและต่างประเทศ
นายอาทิตย์ กล่าวต่อว่า จากที่ดำเนินโครงการดังกล่าวมาเป็นปีที่ 2 ปีนี้จะชูแนวคิด "ดี สเปซ" (D Space) ดีไซน์ (Design) ดีเวลลอป (Developed) ซึ่งดำเนินการโดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมและมีที่ปรึกษาจากศูนย์บริการวิชาการมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) และ บริษัท ไอ ดีไซน์ จำกัด มาเป็นพันธมิตรร่วมทำงานที่มุ่งพัฒนาผ่านการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ให้สอดรับกับแฟชั่นเทรนด์ ซึ่งภายหลังจากการพัฒนาผู้ประกอบการ ดังกล่าวแล้ว กสอ. จึงจัดกิจกรรมการนำผู้ประกอบการจำนวน 47 ราย แบ่งเป็นอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม 25 ราย และเครื่องหนังและรองเท้า 22 ราย เข้าแสดงและร่วมเจรจาธุรกิจในงานฮ่องกงแฟชั่นวีค ซึ่งมีผู้เข้าร่วมงานครั้งนี้ 41 ประเทศ ในส่วนของผู้ประกอบการไทยที่ได้รับคัดเลือกให้ร่วมเจรจาธุรกิจและร่วมโชว์แฟชั่นมินิพาเหรดในงานดังกล่าวด้วย อาทิ แบรนด์ MONIQUE, TA THA TA,RUCHITTA, IDYLLIC, LABEL 31, ADHOC, AL'MANITA, JARITT, IAMES, FREAK OUT, THE SUN CHIC เป็นต้น ทั้งนี้ ตลอดการร่วมงาน 4 วัน (ระหว่างวันที่ 6 – 9 กรกฎาคม 2558) ได้รับการตอบรับและสามารถสร้างรายได้จากการเจราจาธุรกิจได้กว่า 10 ล้านบาท และยังมียอดการสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
ด้าน นายเอกพจน์ ภาณุนันท์ ผู้ประกอบการบริษัท เอ็มเอ็นคิว คอร์ปอเรชั่น จำกัด เจ้าของแบรนด์โมนิค(Monique) เปิดเผยว่า แบรนด์โมนิค ผลิตกระเป๋าหนังแท้ ออกแบบไม่เหมือนใครในราคาปานกลางจับกลุ่มระดับบี ขึ้นไป ซึ่งเปิดตัวและเริ่มต้นธุรกิจมาได้ไม่นาน เน้นทำการตลาดออนไลน์เป็นหลัก ดังนั้น การได้รับโอกาสไปร่วมงานแสดงสินค้าฮ่องกงแฟชั่นวีค ครั้งนี้ จึงเป็นการเปิดโอกาสในการนำผลิตภัณฑ์แบรนด์ไทยไปแสดงศักยภาพให้นานาชาติ ได้เห็น อีกทั้งได้รับคัดเลือกเป็น 1 ใน 7 รายของสาขาเครื่องหนังและรองเท้า เข้าร่วมเจรจาธุรกิจการค้ากับบายเออร์จากนานาประเทศ เป็นการขยายพื้นที่ในการเจรจาธุรกิจที่จากเดิมส่งออกแค่ประเทศสิงคโปร์ และมาเลเซีย งานนี้ทำให้ได้ลูกค้าเพิ่มขึ้นอีกหลายประเทศ อาทิ จีน ฮ่องกง และดูไบ ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจาธุรกิจ หากการเจรจาดังกล่าวสำเร็จแนวโน้มการส่งออกก็จะเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 20 นอกจากนี้ภายในงานดังกล่าวยังมีการแนะแนวทางเทรนด์แฟชั่นโลก ในขณะนี้อีกด้วย เช่น โทนสีแดงเข้มกำลังมาแรง วัตถุดิบหนังที่ผ่านการตกแต่งผิวแล้วก็ได้รับความนิยมมากกว่า หนังธรรมชาติ เป็นต้น ซึ่งสามารถนำความรู้ที่ได้มาปรับใช้ในการออกแบบผลิตภัณฑ์ของแบรนด์โมนิค ให้สอดคล้อง กับเทรนด์แฟชั่นโลกและตรงกับความต้องการของตลาดได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย
นายอาทิตย์ ได้เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ในโอกาสที่ได้นำผู้ประกอบการ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม SMEs ไปร่วมงานครั้งนี้ ได้ถือโอกาสหารือกับผู้บริหารระดับสูงขององค์กรสภาพัฒนาการค้าฮ่องกง (HKTDC) และมีความเห็นร่วมกันว่า งานแสดงสินค้าที่จัดโดย HKTDC นี้ เป็นเวทีที่ได้รับการยอมรับระดับสากล ทำให้ผู้ประกอบการที่เข้ามาร่วมงานได้มีโอกาสแสดงศักยภาพของผลิตภัณฑ์ พร้อมทั้งได้เจรจาธุรกิจแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในการต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์ เป็นการเพิ่มช่องทางการจำหน่าย ทั้งตลาดฮ่องกงและต่อยอดไปสู่ตลาดประเทศจีนหรือประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะสินค้าที่ได้มีการพัฒนารูปแบบ (Design) พัฒนาผลิตภัณฑ์โดยใช้นวัตกรรม เนื่องจากฮ่องกงเป็นศูนย์ธุรกิจ และศูนย์จำหน่าย และกระจายสินค้าระดับนานาชาติ ดังนั้น HKTDC จึงจะสนับสนุนให้ กสอ. ได้นำผู้ประกอบการSMEs ไทยที่ กสอ. ได้พัฒนาตามโครงการต่าง ๆ มาร่วมแสดงสินค้าและเจรจาธุรกิจในงานแสดงสินค้าประเภทต่าง ๆ ที่มีโปรแกรมจัดงานระดับนานาชาติกว่า 30 งานต่อปี โดยสินค้าไทยที่มีศักยภาพมีหลายประเภท นอกเหนือผลิตภัณฑ์แฟชั่น เช่น ผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์ อาหารและเครื่องดื่ม ของใช้ของตกแต่ง เครื่องสำอาง เป็นต้น
สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจเข้าร่วมโครงการหรือกิจกรรมต่าง ๆ ของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมได้ที่ www.dip.go.th หรือwww.facebook.com/dip.pr