กรุงเทพฯ--14 ส.ค.--Arc Worldwide
ผู้บริหารโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เปิดบ้านให้คณะสื่อมวลชนเยี่ยมชมมาตรการกักกันและเฝ้าระวังการแพร่ระบาดโรคติดต่อสายพันธุ์ใหม่แบบครบวงจร ทุ่มเทศึกษาวิจัยโรคเกิดใหม่อย่างต่อเนื่อง พร้อมคาดการณ์และเฝ้าระวังล่วงหน้า เพื่อมุ่งสู่มาตรฐานด้านความปลอดภัยสูงสุด โดย ผศ.นพ.ก่อพงศ์ รุกขพันธ์ ผู้อำนวยการด้านปฎิบัติการและผู้อำนวยการด้านคุณภาพ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เผยว่า ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาได้เกิดการระบาดของโรคติดต่อสายพันธุ์ใหม่ขึ้นทั่วโลกอย่างต่อเนื่องทั้งโรคติดเชื้อชนิดใหม่ที่เพิ่งระบาดในมนุษย์ หรือโรคติดเชื้อที่พบในพื้นที่ใหม่ แม้กระทั่งเกิดจากเชื้อโรคที่กลายพันธุ์ สำหรับประเทศไทยนั้นพบโรคติดต่ออยู่เป็นระยะๆ อาทิ โรคซาร์ส โรคไข้หวัดใหญ่H1N1 และล่าสุดโรคเมอร์ส ซึ่งทางโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ได้ตรวจพบคนไข้รายแรก และดำเนินการระงับการแพร่กระจายของโรคได้สำเร็จดังที่ได้ทราบกันไปแล้ว ซึ่งทางโรงพยาบาลฯตระหนักดีว่าความปลอดภัยของคนไข้และบุคลากร คือ สิ่งที่สำคัญที่สุด จึงได้จัดเตรียมยุทธศาสตร์ทุกมิติเพื่อเตรียมพร้อมรับมือป้องกัน และแก้ไขปัญหาเมื่อเกิดโรคติดต่อสายพันธุ์ใหม่ขึ้นในประเทศไทยอย่างทันท่วงที
"ทั้งนี้ ทางโรงพยาบาลฯ มีแผนกที่พร้อมที่จะรับมือหากมีโรคติดเชื้อชนิดใหม่เข้ามา นั่นคือ "แผนกควบคุมโรคติดเชื้อ" อย่างกรณีโรคเมอร์สที่เราได้มีการเตรียมความพร้อมรับมือไว้ล่วงหน้าตั้งแต่พบโรคดังกล่าวครั้งแรกในประเทศแถบตะวันออกกลางเมื่อเดือนเมษายนปี 2555 และมีการจัดประชุมคณะแพทย์อย่างสม่ำเสมอ พร้อมเตรียมห้องปฏิบัติการกรณีตรวจพบผู้ป่วยในไทย จนผ่านมานานถึง 3 ปี ได้พบผู้ป่วยเมอร์สรายแรกในประเทศไทย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่เราคิดและดำเนินการมาตั้งแต่ต้นนั้นเป็นแนวทางที่ถูกต้อง เป็นอีกหนึ่งกำลังสำคัญที่สามารถช่วยให้ประเทศไทยป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นที่ยอมรับของนานาชาติ"
ผศ.นพ.ก่อพงศ์ รุกขพันธ์ กล่าวอีกว่า "ช่วงที่พบผู้ป่วยโรคเมอร์สรายแรกในไทย สิ่งที่เป็นหัวใจหลักในการจัดการปัญหาในเวลานั้น คือ เราต้องมองถึงระบบบริหารจัดการบุคลากรและการจัดการองค์ความรู้ แบ่งเป็น 5ส่วนหลัก ได้แก่ 1.ความเป็นมืออาชีพและความเข้าใจในหน้าที่ความรับผิดชอบ 2.ความมุ่งมั่นที่จะสร้างมาตรฐานสูงสุด 3.การเตรียมความพร้อมรับมือและฝึกฝนอยู่เสมอ 4.จิตวิญญาณแห่งวิชาชีพและเชื่อมั่นในการทำงานร่วมกัน 5.การปรับตัวและเรียนรู้ตลอดเวลา ซึ่งจาก 5 ปัจจัยข้างต้นทำให้สถานการณ์คลี่คลายลงอย่างรวดเร็ว"
พร้อมกันนี้ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ได้เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนได้เยี่ยมชมส่วนงานต่างๆ ที่มีบทบาทเกี่ยวข้องในการยับยั้งการแพร่กระจายของโรค อาทิ Clinic Building ซึ่งอยู่บริเวณลาดจอดรถภายนอกอาคาร เป็นสถานที่ตรวจคัดกรองผู้ที่มีความเสี่ยงติดเชื้อโรคอุบัติใหม่ เช่น เมอร์ส และอีโบลา ส่วนผู้ที่ปฏิบัติงาน ณ จุดนี้ มีระบบการป้องกันตนเองตามมาตรฐาน แผนกฉุกเฉิน (ER) ที่มีการเตรียมความพร้อมรับผู้ป่วยติดเชื้อ รวมถึงการจัดเตรียมชุดและอุปกรณ์ที่สวมใส่เพื่อป้องกันเชื้อโรคในขณะปฏิบัติการ ซึ่งทางโรงพยาบาลฯ ได้คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ป่วยรวมถึงเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานในแผนกดังกล่าวเป็นสำคัญ แผนกเวชภัณฑ์ปลอดเชื้อ ที่แสดงถึงขั้นตอนการฆ่าเชื้อ และทำความสะอาดเครื่องมือด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย พร้อมเจ้าหน้าที่ดูแลอย่างละเอียดทุกขั้นตอน เพื่อมาตรฐานด้านความปลอดภัยสูงสุด แผนกผู้ป่วยหนัก (ICU) นำเสนอมาตรฐานห้องผู้ป่วยที่มีการควบคุมอุณหภูมิและระบบการระบายอากาศที่เหมาะสมและปลอดภัยต่อผู้ป่วยและบุคคลอื่นภายในโรงพยาบาล แผนกรับผู้ป่วยใน ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ผ่านการฝึกอบรมในการถ่ายทอดความรู้เรื่องการป้องกันโรคติดเชื้อรวมถึงคลายความกังวลแก่ญาติเป็นด่านแรก นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้งหน่วยลาดตระเวน ซึ่งเป็นหน่วยเฉพาะที่ทำหน้าที่สอดส่องดูแลผู้มาใช้บริการโรงพยาบาล หากพบเห็นผู้ใดที่มีอาการเข้าข่ายต้องเฝ้าระวังจะมอบหน้ากากอนามัยให้สวมใส่เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อโรคสู่ผู้อื่น และรายงานให้เจ้าหน้าที่ทันทีถ้ามีอาการที่รุนแรง
ยิ่งกว่านั้น ทางโรงพยาบาลฯ ยังได้มีการติดป้ายประชาสัมพันธ์แสดงถึงอาการต่างๆ ที่บ่งชี้ว่าอาจจะเป็นโรคติดต่อสายพันธุ์ใหม่ และแสดงรูปประเทศต่างๆที่มีโรคระบาดอยู่ ในหลายๆจุดสำคัญทั่วโรงพยาบาลฯ อีกด้วย
ทั้งนี้ แผนกวิจัยและเฝ้าระวังโรคติดเชื้อยังคงทุ่มเทศึกษาเกี่ยวกับโรคสายพันธุ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง มีการคาดการณ์และเฝ้าระวังล่วงหน้า ทำให้พร้อมรับมือโดยทันทีเมื่อมีการตรวจพบโรคระบาด ปัจจุบันเรามีผู้ใช้บริการจำนวน 1.1 ล้านคนต่อปี (รวมผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอก) เป็นผู้ใช้บริการชาวต่างประเทศกว่า 520,000 คนต่อปีจาก 190 ประเทศทั่วโลก โดยเราเป็นหนึ่งในศูนย์กลางของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Medical Tourism) อย่างครบวงจร ด้วยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ และทันตแพทย์กว่า 1,300 ท่าน มีพนักงานคอยให้บริการกว่า4,800 คน และมีพยาบาลอีกกว่า 900 คน