กรุงเทพฯ--17 ส.ค.--IR PLUS
JMT กอดหนี้แน่น หลังภาพรวมหนี้ NPL ในระบบมีแนวโน้มเติบโตสูง เป็นโอกาสของ JMT ทยอยสะสมหนี้เสียเข้าพอร์ตเพิ่มอย่างต่อเนื่อง ในต้นทุนที่ถูก ลง "ปิยะ พงษ์อัชฌา" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เผย ครึ่งแรกของปีนี้ตุนหนี้ในพอร์ตแล้วที่ราว 7.7 หมื่นลบ. มั่นใจ มีพอร์ตบริหารหนี้สิ้นปี 58 อยู่ที่ 9.5 หมื่นลบ. ตามเป้าหมายที่วางไว้ได้ ส่วนกำไรสุทธิ คาดว่าจะเติบโต ขึ้นราว 30% จากปีก่อน พร้อมจับตา JMT PLUS บริษัทลูก รุกธุรกิจปล่อยสินเชื่อ หลังล่าสุด ได้ไลเซ่นการปล่อยสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์เรียบร้อยแล้ว แถม บอร์ดไฟเขียวแผนร่วมทุนกับพาร์ทเนอร์ในเมียนมาร์ ประกอบธุรกิจ บริการให้สิน เชื่อรายย่อยใน ชื่อ JP Finance ทั้งนี้ ผลงานงวด 6 เดือนแรกปีนี้ มีรายได้รวม อยู่ที่ 330.85 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 63.20% ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 55.83 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.61%
นายปิยะ พงษ์อัชฌา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT เปิดเผยถึง ภาพรวมธุรกิจบริหารหนี้มีแนวโน้มเติบโตสูง จากสภาวะ เศรษฐกิจใน ปัจจุบันกดดัน ให้หนี้ที่ไม่ ก่อให้เกิดราย ได้ (NPL) ปรับตัวเพิ่มขึ้นทั้งระบบ เป็นโอกาสให้ JMT สามารถเลือกซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาสะสมได้ในต้นทุนที่ต่ำลง แม้ในช่วงที่ ผ่านมา ลูกค้ากลุ่มเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ ได้รับผลกระทบ จากภาวะ เศรษฐกิจที่ ชะลอตัว การทวงหนี้จึงทำได้ยากขึ้น ซึ่งบริษัทฯ ได้มีการตั้งสำรองหนี้ลูกค้ากลุ่มดังกล่าวไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ หากเศรษฐกิจฟื้นตัว การรับรู้ราย ได้จะกลับมา เป็นปกติด้วย เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมา JMT สามารถทยอยซื้อหนี้เข้ามาบริหารเพิ่มได้อย่างต่อเนื่อง โดยพอร์ตบริหาร หนี้ของบริษัทฯ ทำสถิติสูงสุด เป็น ประวัติการณ์ ต่อเนื่องทุกปี
"ภาพรวมหนี้ NPL ในระบบ มีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้นทุกปี โดยในปี 2555 ซึ่งเป็นปีที่ JMT เข้าตลาดหลักทรัพย์ มีหนี้ NPL ในระบบอยู่ที่ราว 4.7 หมื่นล้านบาท ส่วนปัจจุบัน หนี้ NPL ในระบบเติบโตอยู่ที่เกือบ 1 แสนล้านบาท แสดงให้เห็นว่า ยังมีโอกาสอีก เป็นจำนวนมาก ในการเข้าไปบริหารหนี้ให้กับสถาบันการเงิน และหน่วยงาน ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง" นายปิยะ กล่าว
นายปิยะ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าจะซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารในปีนี้เพิ่มอีก 30,000 ล้านบาท หรือมีพอร์ตบริหารหนี้เมื่อสิ้นปี 2558 อยู่ที่ประมาณ 95,000 ล้านบาท จากพอร์ตบริหาร หนี้เมื่อสิ้น ปี 2557 อยู่ที่ประมาณ 65,000 ล้านบาท โดยในช่วงครึ่ง ปีแรก บริษัทฯ มีพอร์ตหนี้ สะสมอยู่แล้ว ที่ประมาณ 77,000 ล้านบาท พร้อมเดินหน้า ทยอยซื้อหนี้ เข้ามาบริหาร เพิ่มอย่างต่อ เนื่องอีก สนับสนุนผลประกอบการปี 2558 คาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโตขึ้นราว 30% จากปี 2557 มีกำไรสุทธิ อยู่ที่ 120.61 ล้านบาท
นอกจากนี้ ความร่วมมือทาง ธุรกิจระหว่าง JMART GROUP (บริษัทแม่ของ JMT) และ SINGER เป็นอีกช่องทางสำคัญที่สนับสนุนให้ JMT เข้าสู่กลุ่มลูกค้าคุณภาพอีกกว่า 1.7 แสนราย เพื่อให้บริการสินเชื่อเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบการร้านค้า และแผนการเปิด สาขาเพิ่มเติม เข้าไปในสาขา ของ SINGER เป็นอีกปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของ JMT ให้มั่นคงแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก
ส่วนบริษัทลูก JMT PLUS พร้อมรุกธุรกิจให้บริการสินเชื่อ 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ สินเชื่อส่วนบุคคล, สินเชื่อเช่า ซื้อรถยนต์, นาโน ไฟแนนซ์ (Nano Finance) และ สินเชื่อเช่าซื้อ หลังจากในช่วง ที่ผ่านมา บริษัทฯ รวมทีมผู้บริหารซึ่งมีความสามารถโดยเฉพาะ มาบริหารธุรกิจ และได้รับ อนุมัติจาก ธนาคารแห่ง ประเทศไทย (ธปท.) เพื่อประกอบธุรกิจให้สินเชื่อ นาโนไฟแนนซ์ (Nano Finance) โดยคาดว่าจะใช้ งบลงทุนเริ่ม แรกในธุรกิจนี้ ที่ประมาณ 20 ล้านบาท และน่าจะเห็นความชัดเจนของธุรกิจยิ่งขึ้นในปี 2559
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติ อนุมัติให้ บริษัทฯ เข้าร่วมทุนในบริษัทที่จะจดทะเบียนจัดตั้งในประเทศสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมีย นมาร์ เพื่อประกอบธุรกิจบริการให้สินเชื่อรายย่อย Microfinance โดยจัดตั้งในชื่อนิติบุคคล JP Finance Co.,Ltd. (JF) ทุนจดทะเบียน เริ่มแรกจำนวน ประมาณ 20,000,000 บาท แบ่งเป็นจำนวน 2,000,000 หุ้น ทั้งนี้ บริษัทฯ จะเข้าถือหุ้นจำนวน 1,400,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 70% ของทุนจดทะเบียนของ JF ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างรออนุมัติไลเซ่นการปล่อยสินเชื่อ และคาดว่าจะ เริ่มเห็นภาพ ชัดเจนและปล่อย สินเชื่อได้ภาย ในไตรมาส 1/2559 ด้วยงบลงทุนเริ่มแรก 20 ล้านบาท
สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อย งวด 6 เดือนแรก (สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2558) งบการเงินรวม บริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 330.85 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 63.20% จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 202.73 ล้านบาท กำไรสุทธิอยู่ ที่ 55.83 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.61% จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 43.41 ล้านบาท ส่วนผลการ ดำเนินงานงวด ไตรมาส 2/2558 งบการเงินรวม บริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 163.76 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43.06% จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 114.47 ล้านบาท กำไรสุทธิอยู่ที่ 18.94 ล้านบาท ลดลง 29.33% จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 26.80 ล้านบาท