(ต่อ1) วอเนอร์ เสนอเรื่องย่อภาพยนตร์ MISS CONGENIALITY PRODUCTION NOTE

ข่าวทั่วไป Thursday March 10, 2005 16:22 —ThaiPR.net

เบเดอร์เห็นด้วยกับบูลล็อคกับการเล่นมุขตลกประเภทนี้ว่า “มันต้องออกมาจากใจ” เบเดอร์อธิบายว่าบทของเขา “กว้างมากจนเชื่อได้ยากว่ามีคนเบบโจเอลอยู่บนโลกนี้ด้วย เวลาคุณรับบทไหนคุณต้องคิดเป็นตัวละครตัวนั้นด้วย ตราบใดที่คุณทำเช่นนั้นได้คุณก็สามารถแสดงแบบไหนก็ได้แล้วผู้ชมก็จะเชื่อในตัวละครตัวนั้นตามไปด้วยเพราะเขาจะคิดว่าคุณทึ่มจริงๆ”
เบเดอร์ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า หลานสาวของเขาเห็นว่าเกรซี่ ฮาทนั้นเป็นตัวอย่างผู้หญิงที่ทำงานเก่งและวางตัวเป็นตัวของตัวเองจึงเป็นคนที่ฉลาด “มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้หญิงที่แข็งแกร่งในหน้าที่การงานและในสังคมทั่วไป เพราะว่าไม่ยอมให้ใครมาบงการว่าเราต้องทำตัวตามกฎเกณฑ์ที่วางไว้”
อีกคนหนึ่งในทีมงานที่เป็นแฟนตัวยงของเบเดอร์ก็คือทรีท วิลเลี่ยม ที่กล่าวว่า “ผมอยู่ในห้องเดียวกับเขาไม่ได้เพราะผมจะขำตลอด” ซึ่งอาจจะเกิดปัญหาเพราะตัวละครที่วิลเลี่ยมแสดงคือ คอลลินส์นั้นทีลักษณะที่หัวแข็งและมีความทะเยอทะยานสูง ให้ความสำคัญกับชื่อเสียงที่เขาจะได้รับถ้าหากเขาไขคดีลักพาตัวนี้ได้ โดยที่พยายามไม่ขอความช่วยเหลือจากเกรซี่ ฮาท ซึ่งมีชื่อเสียงมากเกินพอแล้ว
วิลเลี่ยมซึ่งเคยได้รับรางวัลเอมมี่ (Emmy Award) และได้รับการเสนอเข้าชิงรางวัลโกลเด้น โกลบ (Golden Globe) และ รางวัลสกรีน แอ็คเตอร์ส กิลด์ (Scree Actors Guild Award) มาแล้วหลายครั้ง สนใจบทนี้ทันทีเพราะ “ผมสนุกทุกครั้งที่ได้เล่นบทประเภทที่ใส่เครื่องแบบ เพราะเราต้องพยายามเพิ่มรสชาติให้มัน และเหตุผลสำคัญอีกอย่างหนึ่ง เหมือนกับผู้ชายเกินครึ่งในอเมริกา คือผมชอบแซนดร้า บูลล็อคมาเป็น 10 ปีแล้ว ซึ่งก็เป็นเหตุผลที่ดีในการรับแสดงบทนี้”
ถึงแม้ว่าจะอยู่ที่ลาส เวกัส การที่ผู้หญิงคนหนึ่งที่สวมหมวกขนนกขนาด 3 ฟุตอยู่บนศรีษะ
ใส่ส้นสูงวิ่งฝ่ารถติดก็เป็นเรื่องแปลกไม่ใช่น้อย
เมื่อคำนึงถึงมาตรฐานที่ Miss Congeniality ได้กำหนดไว้ ไม่ว่าจะเป็นความสวยงามตระการตาของเวทีประกวดนางงามและ ความบ้าบอน่ารักๆ ขาดๆเกินๆของเรื่องเดิม ทำให้เรื่องราวใหม่นั้นไม่มีสถานที่อื่นที่เหมาะสมนอกจาก ลาส เวกัส บูลล็อคพูดเล่นๆว่า “มีทางเดียวที่จะทำให้พวกเราสนุกมากขึ้นก็คือไปถ่ายที่เวกัส” “มีที่ไหนอีกที่ทุกอย่างนั้นเป็นของปลอมหมด แสงสีเสียงมูลค่าเป็นพันๆล้าน เรือโจรสลัด คลองแบบเวนิส ความตระการตาที่อยู่แต่ในจินตนาการของคุณ ไม่มีที่ใดในโลกแล้วที่คุณจะสามารถสร้างความสนุกสนานได้อย่างบ้าระห่ำ และผู้คนที่นั้นก็อำนวยความสะดวกให้กับความคิดหลุดโลกของพวกเราได้อย่างดียิ่ง คือถ้าเราขอให้พวกเขาระเบิดโรงแรมซีกหนึ่งพวกเขาคงบอกว่า ระเบิดอีกซีกหนึ่งดีกว่าเพราะอีกซีกหนึ่งคนพักเต็มเลย”
ลอว์เรนซ์ตั้งใจที่จะพยายามหลีกเลี่ยงบรรยากาศการประกวดนางงามในภาคนี้ เขาจึงต้องเสาะหาความพิเศษของลาสเวกัสซึ่งเป็นฉากใหม่ของภาพยนตร์เรื่องนี้ ทั้งนี้มีฉากโกลาหลที่ต้องไปถ่ายทำที่คลับเกย์ คาราโอเกะ ซึ่งลอว์เรนซ์เล่าขำๆว่า “แซนดร้าบังคับให้ผมไปเที่ยวบาร์เกย์หลายแห่งอยู่เหมือนกันเพื่อเก็บข้อมูล”
ลอว์เรนซ์กล่าวว่าเขาต้องการ “ใช้แสงสีเสียงและพลังความสนุกสนานที่ลาส เวกัสมีอยู่ให้คุ้มค่า” ไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยกรรมที่แปลกตาและความตระการตาซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของเมืองนี้ กองถ่ายจึงยกกองไปถ่ายทำณ สถานที่จริงที่โรงแรมชื่อดังของ The Strip’s ถึงสองแห่งด้วยกันคือ โรงแรม Venetian และ โรงแรม Treasure Island ซึ่งแขกที่พักที่โรงแรมก็ดีอกดีใจที่การมาเที่ยวลาสเวกัสครั้งนี้เข้าจะได้ชมการถ่ายทำภาพยนตร์และดารานักแสดงที่พวกเขาชื่นชอบติดขอบเวทีเลยทีเดียว
ในการถ่ายทำส่วนหนึ่งมีฉากบู๊ตลกๆที่ลอบบี้สไตล์เวนิซของโรงแรม Venetian ซึ่งก็ถ่ายเลยไปถึงส่วนที่เหมือน St. Mark’s Square ของโรงแรมด้วย ฉากนี้และฉากในห้องสูทเป็นฉากแรกของภาพยนตร์ที่ทางกองถ่ายได้ถ่ายภาพภายในโรงแรม ภาพที่โรงแรม Treasure Island มีฉากที่ถ่ายทำที่บ่อนคาสิโนที่ซึ่งเกรซี่และแซมต่อสู้กับผู้ร้ายบนโต๊ะเล่นพนัน --- ทั้งชิปทั้งคนกระเด็นกระดอนไปคนละข้าง ส่วนภายนอกการต่อสู้เกิดขึ้นริมถนนบริเวณรอบ ๆจุดท่องเที่ยว The Sirens ซึ่งมีเรือโจรสลัดคู่อริต่อสู้กันในบึง
ภาพยนตร์เรื่อง Miss Congeniality 2: Armed and Fabulous ได้ไปถ่ายทำในเมืองในการเก็บภาพของเกรซี่กับแซม ซึ่งทั้งคู่ใส่ชุดนางโชว์เพื่ออำพรางตัวเอง ขับรถฉวัดเฉวียนผ่านไปยังถนนแยกสำคัญๆต่างๆของเมือง ผ่าน คาสิโน The Four Queens, The Golden Nugget, The Fremont และคาสิโนชื่อดังอื่นๆอีกมากมาย เพื่อเสี่ยงตายไปช่วยเชอร์ริลและแสตน ตำรวจได้ทำการปิดถนน Las Vegas Boulevard ส่วนหนึ่งด้านหน้า The Mirage เพื่อถ่ายฉากที่เจ้าหน้าทั้งสองซึ่งแต่งตัวซะเต็มที่สละรถตำรวจและวิ่งฝ่าถนนไป
ทางกองถ่ายได้เก็บภาพในเมืองเล็กต่างๆด้วยซึ่งห่างออกไปจากแสงสีประมาณ 20 ไมล์ทางใต้ของลาส เวกัสด้วย เช่นเมืองจีน เนวาด้า ซึ่งสภาพทะเลทรายนั้นเหมาะเป็นสถานที่ตั้งกระท่อมกบดานเพื่อเรียกค่าไถ่ตัวประกันทั้งสอง แสตนและนางงามสหรัฐอเมริกา สถานที่อื่นๆที่ไปถ่ายทำจะอยู่รอบๆบริเวณนอกลาส เวกัสออกไป โดยที่มีแสงสว่างจากตัวเมืองที่ไม่เคยหลับเป็นฉากหลังในทุกๆเฟรม
หลังจากถ่ายทำเสร็จแล้วที่เนวาด้า กองถ่ายก็ยกไปถ่ายต่อที่ ลอส แอนเจลิสอยู่ 2-3 สัปดาห์เพื่อถ่ายฉากต่างๆที่ถ่ายทำในสตูดิโอและเวที จนท้ายที่สุดไปจบที่มหานครนิวยอร์คซึ่งเป็นฐานของเกรซี่นั่นเอง
การคัดเลือกนักแสดง: ตอนรับหน้าเก่าๆและบทใหม่ๆ
เอ็นริเก้ เมอร์เซียโน เข้าร่วมแก๊งค์กับแซนดร้า บูลล็อค และ เรจิน่า คิง ที่ลาสเวกัสโดยรับบทเป็นเจ้าหน้าที่ผู้มีแต่ความหวังดีแต่ไม่ค่อยจะรู้ร้อนรู้หนาวสักเท่าไหร่ เมอร์เซียโนได้รับการเสนอขื่อเข้าชิงรางวัล Screen Actors Guild ปี 2002 จากการแสดงละครโทรทัศน์เรื่อง Without a Trace เขายอมรับว่า “บทเจฟ ฟอร์แมนคงเป็นบทที่น่ารักที่สุดที่เขาเคยได้รับ ผมมักจะได้รับบทที่ค่อนข้างโหดๆ แสดงเป็นคนที่สละชีวิตเพื่อชาติตอนจบ แต่เรื่องนี้กลับได้รับบทที่ตลกฮาๆ อ่อนโยนน่ารักมาก”
“คนที่มีหน้าตาแบบเอ็นริเก้ไม่ควรจะตลกได้ขนาดนั้น” แซนดร้าแกล้งพูดเล่น “พระเจ้าไม่มีทางลิขิตให้เขาเป็นแบบนั้นได้ ท่านจะประทานส่วนหนึ่งให้โดยที่เก็บส่วนหนึ่งเอาไว้ แต่ในกรณีของเอ็นริเก้ โฮ! พระเจ้าประทานให้หมดทุกอย่างเลย”
บูลล็อคอธิบายว่า เกรซี่นั้นให้ความสนใจฟอร์แมนเป็นพิเศษ “เกรซี่และแซมไม่เพียงได้หลอกใช้เขาอย่างเดียวแต่แถมยังเล่นเขาจนกันเหนื่อยไปข้าง เป็นเพราะว่าเธอเห็นศักยภาพในตัวเขาและต้องการจะช่วยเขาจริงๆ เขาทำให้เธอนึกถึงตัวเองสมัยก่อน ซึ่งมีความสามารถและความมั่นใจแต่นำออกมาใช้ไม่เป็น ซึ่งเธอก็รู้ว่าจะต้องพยายามดันเขานิดหนึ่งเพื่อที่เขาจะได้ค้นพบตัวเอง”
ผู้ที่กลับมารับบทเดิมเป็นโฆษกเวทีประกวดนางงามจากภาคแรก Miss Congeniality คือวิลเลี่ยม แชทเนอร์ ผู้ซึ่งเคยได้รับรางวัลเอมมี่ (Emmy Award) รางวัลโกลเด้น โกลบ (Goldern Globe Award) และ รางวัล แซทเทิร์น (Saturn Award) เขาสามารถเพิ่มเสน่ห์ให้กับตัวละครที่ขี้ขลาดไร้ความจริงใจได้ระดับหนึ่งเลยทีเดียว ในเรื่องราวครั้งนี้แสตนเข้ามามีบทบาทในฐานะตัวประกันซึ่งเขาก็ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ทำให้เขารู้ตัวสักทีว่าความสามารถในการเอาตัวรอดที่เขาใช้ดำเนินชีวิตมาตลอดนั้นไม่มีประโยชน์เอาเสียเลยในเวลาขับขัน โจรเรียกค่าไถ่ไม่ประทับใจเท่าไหร่เมื่อเขาพยายามแสดงความสามารถในการแสดงละครเวทีต่างๆและปฏิเสธข้อเสนอที่เขาจะแสดงในวีดีโอเรียกค่าไถ่
“ฉันว่าคนอื่นไม่ตระหนักเลยว่าวิลเลี่ยม แชทเนอร์นั้นขำขนาดไหน” แซนดร้ากล่าวถึงวิลเลี่ยมซึ่งในกองถ่ายเธอตั้งชื่อเล่นให้เขาใหม่ว่า บับบา “เขาเป็นจอมเปิ่นเลยเวลาเขาอยู่กับพวกเรา เขาเล่นบทแสตนได้เนียนมาก ถึงแม้ว่าบทนี้อาจจะทำให้เข้าดูติ๊งต๊อง คนเก่งเท่านั้นที่จะเล่นบทนี้ได้ คนโง่แสดงเป็นคนโง่ไม่ได้หรอก”
เออร์นี่ ฮัดสัน กลับมาเล่นบทหัวหน้าแม็คโดนัล ผู้ซึ่งถูกกดดันจากคนตำแหน่งระดับสูงอีกที เขาเป็นคนที่หว่านล้อมให้เกรซี่ยอมรับชื่อเสียงและก้าวเข้าไปมีบทบาทต่อสาธารณชนในฐานะโฆษกประจำองค์กรเอฟบีไอ
ฮัดสัน ซึ่งอายุ 25 ปีผ่านประสบการณ์อันโชกโชนทั้งด้านละครเวที จอเงินและจอแก้ว เขาสามารถทำให้ลักษณะของตัวละครแม็คโดนัลออกมาได้เด่นชัด ทำให้เขาดูเจ้ากี้เจ้าการและหว่านล้อมเก่งในเวลาเดียวกัน เขาเป็นคนที่เข้าใจเกรซี่มากที่สุดเลยก็ว่าได้ เขาเป็นทั้งเจ้านาย ผู้สั่งสอน ที่ปรึกษา และเป็นเพื่อนด้วย เห็นได้ชัดว่าเขาจะภูมิใจทุกครั้งถ้าเกรซี่ประสบความสำเร็จและทุกครั้งที่เกรซีที่ทำพลาดคุณจะเห็นเลยว่าเขาอยากจะเตือนเธอมากแค่ไหน เมื่อเกรซี่กับแซมเกือบทะเลาะกันยกใหญ่ก่อนการประชุมในโรงยิมเอฟบีไอ แม็คโดนัลนั่นเองที่เป็นคนสงบศึกระหว่างทั้งสอง
อีกคนที่กลับมารับบทเดิมก็คือเฮเธอร์ เบิร์นส แสดงเป็นเชอร์ริล เฟรเซอร์ผู้เปราะบาง ในเรื่อง Miss Congeniality หลังจากได้รับตำแหน่งนางงามเธอก็กลายเป็นเพื่อนซี้กับเกรซี่ “ผู้ชมเข้าถึงตัวละครอย่างเชอร์ริลได้” บูลล็อคกล่าวถึงภาพยนตร์ภาคแรก “เธอเป็นพวกม้ารองที่ใจดีและไม่เข้าข่ายตัวเก็งเลยแต่เธอก็กลับชนะการประกวดซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดี เป็นคนที่คุณอยากให้ชนะจริงๆ คนที่มีอะไรคล้ายๆคุณ คนที่คุณเลียนแบบได้โดยที่ไม่เกินความเป็นจริง”
“เชอร์ริลเป็นตัวละครที่เหมาะกับเกรซี่เป็นอย่างมาก” เบิร์นสอธิบาย “เกรซี่นั่นทรหดและเฉลียวฉลาดส่วนเชอร์ริลนั้นก็ไร้เดียงสาอย่างไม่น่าเชื่อ เธอมีทัศนะคติที่บวก เป็นผู้หญิงธรรมดาๆคนหนึ่งซึ่งอาจจะไม่โดนเด่นเท่าไหร่แต่ฉันว่ามีความฉลาดซ่อนอยู่ซึ่งบางครั้งก็ทำให้คนงงได้เหมือนกัน”
“เฮเธอร์มีความสามารถในการแสดงบทตลกอย่างที่คุณไม่คาดคิดมาก่อน” บูลล็อคกล่าวถึงเฮเธอร์
เธอทำงานร่วมกันกับเบิร์นมาแล้วเป็นครั้งที่สามหลังจากเรื่อง Miss Congeniality และ Two Weeks Notice “หลายครั้งที่คุณไม่รู้เลยว่าเธอกำลังปล่อยมุขอยู่จนเธอก็พูดอะไรออกมาบางอย่างหน้าตายจนคุณรู้ว่าเธอเพิ่งพูดสิ่งที่ขำมากๆออกมา”
นักแสดงอีกคนหนึ่งที่ขึ้นชื่อเรื่องการแสดงบทตลกคือ ไดดริช เบเดอร์ เป็นที่รู้จักกันจากบทของจอมเปิ่นออสเวลด์ในละครโทรทัศน์ยอดฮิตเรื่อง The Drew Carey Show ซึ่งในภาพยนตร์เรื่องนี้เขาแสดงเป็นสไตล์ลิสชื่อโจเอลที่ทางการจัดมาให้เกรซี่ “ในการแสดงบทนี้เขาไม่เพียงแต่จะให้ความตลกอย่างไม่สิ้นสุด” บูลล็อคอธิบาย “แต่เขายังใส่ความเห็นอกเห็นใจเข้าไปด้วย”
เบเดอร์เห็นด้วยกับบูลล็อคกับการเล่นมุขตลกประเภทนี้ว่า “มันต้องออกมาจากใจ” เบเดอร์อธิบายว่าบทของเขา “กว้างมากจนเชื่อได้ยากว่ามีคนเบบโจเอลอยู่บนโลกนี้ด้วย เวลาคุณรับบทไหนคุณต้องคิดเป็นตัวละครตัวนั้นด้วย ตราบใดที่คุณทำเช่นนั้นได้คุณก็สามารถแสดงแบบไหนก็ได้แล้วผู้ชมก็จะเชื่อในตัวละครตัวนั้นตามไปด้วยเพราะเขาจะคิดว่าคุณทึ่มจริงๆ”
เบเดอร์ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า หลานสาวของเขาเห็นว่าเกรซี่ ฮาทนั้นเป็นตัวอย่างผู้หญิงที่ทำงานเก่งและวางตัวเป็นตัวของตัวเองจึงเป็นคนที่ฉลาด “มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้หญิงที่แข็งแกร่งในหน้าที่การงานและในสังคมทั่วไป เพราะว่าไม่ยอมให้ใครมาบงการว่าเราต้องทำตัวตามกฎเกณฑ์ที่วางไว้”
อีกคนหนึ่งในทีมงานที่เป็นแฟนตัวยงของเบเดอร์ก็คือทรีท วิลเลี่ยม ที่กล่าวว่า “ผมอยู่ในห้องเดียวกับเขาไม่ได้เพราะผมจะขำตลอด” ซึ่งอาจจะเกิดปัญหาเพราะตัวละครที่วิลเลี่ยมแสดงคือ คอลลินส์นั้นทีลักษณะที่หัวแข็งและมีความทะเยอทะยานสูง ให้ความสำคัญกับชื่อเสียงที่เขาจะได้รับถ้าหากเขาไขคดีลักพาตัวนี้ได้ โดยที่พยายามไม่ขอความช่วยเหลือจากเกรซี่ ฮาท ซึ่งมีชื่อเสียงมากเกินพอแล้ว
วิลเลี่ยมซึ่งเคยได้รับรางวัลเอมมี่ (Emmy Award) และได้รับการเสนอเข้าชิงรางวัลโกลเด้น โกลบ (Golden Globe) และ รางวัลสกรีน แอ็คเตอร์ส กิลด์ (Scree Actors Guild Award) มาแล้วหลายครั้ง สนใจบทนี้ทันทีเพราะ “ผมสนุกทุกครั้งที่ได้เล่นบทประเภทที่ใส่เครื่องแบบ เพราะเราต้องพยายามเพิ่มรสชาติให้มัน และเหตุผลสำคัญอีกอย่างหนึ่ง เหมือนกับผู้ชายเกินครึ่งในอเมริกา คือผมชอบแซนดร้า บูลล็อคมาเป็น 10 ปีแล้ว ซึ่งก็เป็นเหตุผลที่ดีในการรับแสดงบทนี้”
ถึงแม้ว่าจะอยู่ที่ลาส เวกัส การที่ผู้หญิงคนหนึ่งที่สวมหมวกขนนกขนาด 3 ฟุตอยู่บนศรีษะ
ใส่ส้นสูงวิ่งฝ่ารถติดก็เป็นเรื่องแปลกไม่ใช่น้อย
เมื่อคำนึงถึงมาตรฐานที่ Miss Congeniality ได้กำหนดไว้ ไม่ว่าจะเป็นความสวยงามตระการตาของเวทีประกวดนางงามและ ความบ้าบอน่ารักๆ ขาดๆเกินๆของเรื่องเดิม ทำให้เรื่องราวใหม่นั้นไม่มีสถานที่อื่นที่เหมาะสมนอกจาก ลาส เวกัส บูลล็อคพูดเล่นๆว่า “มีทางเดียวที่จะทำให้พวกเราสนุกมากขึ้นก็คือไปถ่ายที่เวกัส” “มีที่ไหนอีกที่ทุกอย่างนั้นเป็นของปลอมหมด แสงสีเสียงมูลค่าเป็นพันๆล้าน เรือโจรสลัด คลองแบบเวนิส ความตระการตาที่อยู่แต่ในจินตนาการของคุณ ไม่มีที่ใดในโลกแล้วที่คุณจะสามารถสร้างความสนุกสนานได้อย่างบ้าระห่ำ และผู้คนที่นั้นก็อำนวยความสะดวกให้กับความคิดหลุดโลกของพวกเราได้อย่างดียิ่ง คือถ้าเราขอให้พวกเขาระเบิดโรงแรมซีกหนึ่งพวกเขาคงบอกว่า ระเบิดอีกซีกหนึ่งดีกว่าเพราะอีกซีกหนึ่งคนพักเต็มเลย”
ลอว์เรนซ์ตั้งใจที่จะพยายามหลีกเลี่ยงบรรยากาศการประกวดนางงามในภาคนี้ เขาจึงต้องเสาะหาความพิเศษของลาสเวกัสซึ่งเป็นฉากใหม่ของภาพยนตร์เรื่องนี้ ทั้งนี้มีฉากโกลาหลที่ต้องไปถ่ายทำที่คลับเกย์ คาราโอเกะ ซึ่งลอว์เรนซ์เล่าขำๆว่า “แซนดร้าบังคับให้ผมไปเที่ยวบาร์เกย์หลายแห่งอยู่เหมือนกันเพื่อเก็บข้อมูล”
ลอว์เรนซ์กล่าวว่าเขาต้องการ “ใช้แสงสีเสียงและพลังความสนุกสนานที่ลาส เวกัสมีอยู่ให้คุ้มค่า” ไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยกรรมที่แปลกตาและความตระการตาซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของเมืองนี้ กองถ่ายจึงยกกองไปถ่ายทำณ สถานที่จริงที่โรงแรมชื่อดังของ The Strip’s ถึงสองแห่งด้วยกันคือ โรงแรม Venetian และ โรงแรม Treasure Island ซึ่งแขกที่พักที่โรงแรมก็ดีอกดีใจที่การมาเที่ยวลาสเวกัสครั้งนี้เข้าจะได้ชมการถ่ายทำภาพยนตร์และดารานักแสดงที่พวกเขาชื่นชอบติดขอบเวทีเลยทีเดียว
ในการถ่ายทำส่วนหนึ่งมีฉากบู๊ตลกๆที่ลอบบี้สไตล์เวนิซของโรงแรม Venetian ซึ่งก็ถ่ายเลยไปถึงส่วนที่เหมือน St. Mark’s Square ของโรงแรมด้วย ฉากนี้และฉากในห้องสูทเป็นฉากแรกของภาพยนตร์ที่ทางกองถ่ายได้ถ่ายภาพภายในโรงแรม ภาพที่โรงแรม Treasure Island มีฉากที่ถ่ายทำที่บ่อนคาสิโนที่ซึ่งเกรซี่และแซมต่อสู้กับผู้ร้ายบนโต๊ะเล่นพนัน --- ทั้งชิปทั้งคนกระเด็นกระดอนไปคนละข้าง ส่วนภายนอกการต่อสู้เกิดขึ้นริมถนนบริเวณรอบ ๆจุดท่องเที่ยว The Sirens ซึ่งมีเรือโจรสลัดคู่อริต่อสู้กันในบึง
ภาพยนตร์เรื่อง Miss Congeniality 2: Armed and Fabulous ได้ไปถ่ายทำในเมืองในการเก็บภาพของเกรซี่กับแซม ซึ่งทั้งคู่ใส่ชุดนางโชว์เพื่ออำพรางตัวเอง ขับรถฉวัดเฉวียนผ่านไปยังถนนแยกสำคัญๆต่างๆของเมือง ผ่าน คาสิโน The Four Queens, The Golden Nugget, The Fremont และคาสิโนชื่อดังอื่นๆอีกมากมาย เพื่อเสี่ยงตายไปช่วยเชอร์ริลและแสตน ตำรวจได้ทำการปิดถนน Las Vegas Boulevard ส่วนหนึ่งด้านหน้า The Mirage เพื่อถ่ายฉากที่เจ้าหน้าทั้งสองซึ่งแต่งตัวซะเต็มที่สละรถตำรวจและวิ่งฝ่าถนนไป
ทางกองถ่ายได้เก็บภาพในเมืองเล็กต่างๆด้วยซึ่งห่างออกไปจากแสงสีประมาณ 20 ไมล์ทางใต้ของลาส เวกัสด้วย เช่นเมืองจีน เนวาด้า ซึ่งสภาพทะเลทรายนั้นเหมาะเป็นสถานที่ตั้งกระท่อมกบดานเพื่อเรียกค่าไถ่ตัวประกันทั้งสอง แสตนและนางงามสหรัฐอเมริกา สถานที่อื่นๆที่ไปถ่ายทำจะอยู่รอบๆบริเวณนอกลาส เวกัสออกไป โดยที่มีแสงสว่างจากตัวเมืองที่ไม่เคยหลับเป็นฉากหลังในทุกๆเฟรม
หลังจากถ่ายทำเสร็จแล้วที่เนวาด้า กองถ่ายก็ยกไปถ่ายต่อที่ ลอส แอนเจลิสอยู่ 2-3 สัปดาห์เพื่อถ่ายฉากต่างๆที่ถ่ายทำในสตูดิโอและเวที จนท้ายที่สุดไปจบที่มหานครนิวยอร์คซึ่งเป็นฐานของเกรซี่นั่นเอง
การออกแบบการโปรดักชั่น: จากโชว์เกย์แห่งคลับโอเอซิสอันรุ่งเรื่องไปยัน
กระท่อมที่แสงแดดแผดเผากลางทุ่ง
เมื่อเราถามว่าภาพยนตร์เรื่อง Miss Congeniality 2: Armed and Fabulous นั้นมรฉากอยู่ที่ไหนบ้าง พาสคินให้คำตอบถูกใจอย่างพรั่งพรูว่า “ก็มีที่โรงแรมในเมืองลาส เวกัสจำนวนหนึ่ง ที่ถนนฟรีมอนท์ซึ่งอยู่กลางเมืองและก็มีบรรยากาศที่แตกต่างออกไปเลยที่ย่านเดอะ สตริป มีที่ทะเลทราย ใต้น้ำ บนเรือโจรสลัด ในกระท่อมร้าง และก็ที่ทำการเอฟบีไอหลายๆแห่ง ที่สนามบิน ในรถยนต์ทั่วลาส เวกัสและนิวยอร์ค แล้วผมลืมอะไรไปบ้าง เออ ใช่ แล้วก็บาร์เกย์
เออ ใช่ บาร์เกย์
คลับโอเอซิส สถานที่เที่ยวกลางคืนซึ่งสร้างขึ้น “จากจินตนาการของผมล้วนๆ” บนเวทีเสียงโดยผู้ออกแบบ โปรดักชั่น มาเฮอร์ อามาด ซึ่ง เป็นความสมดุลระหว่างความลงตัวและการใช้สอยอย่างมีประโยชน์ ฉากที่อลังการนี้ออกแบบมาสำหรับฉากสำคัญที่เกรซี่และแซมต้องปลอมตัวเป็นแสดงเพื่อให้เข้าถึงพยานตัวสำคัญที่อยู่ด้านหลังเวที ถึงแม้ว่าทั้งสองไม่ได้ตั้งใจที่จะแสดงจริงๆ พวกเธอก็โดนสถานการณ์บังคับให้ขึ้นไปบนเวทีและก็ต้องพยายามกล้ำกลืนร้องเพลงออกมาต่อหน้าฝูงชนที่อัดกันอยู่แน่นเอียดเพื่อพยายามไม่ให้โดนจับได้
ถึงแม้อามาดจะประเมินฉากนี้ไว้ว่า “เป็นฉากที่เปลืองแรงและเปลืองวัสดุเป็นอย่างมาก” ก็ยังน้อยไป เขากล่าวว่า “เป็นฉากประเภทที่ไม่เพียงแต่จะต้องดูดีแต่ต้องคำนึงถึงการใช้งานด้วย” “มันมีรายละเอียดยิบย่อย ทั้งทางเดิน บันได้ ห้องแต่งตัวซึ่งทั้งหมดจะต้องสอดคล้องลงตัวเป็นอย่างดีเพื่อให้ทุกอย่างเดินไปอย่างราบรื่นเนื่องจากมีคนที่จะต้องวิ่งไปมา หาคนนู้น เจอคนนี้อยู่ตลอดเวลา” ฉากนี้ยังต้องมีเวทีการแสดงซึ่งมีบันไดขนาดใหญ่ซึ่งโยงไปยังเวทีกลางและบาร์ด้วย ซึ่งเป็นสถานที่ๆมีเหตุการณ์ตื่นเต้นเกิดขึ้นไปพร้อมๆกับการแสดงหลัก และก็ต้องสอดคล้องกับการจัดไฟและมุมกล้องต่างๆด้วย มาเฮอร์อธิบายว่า “มีเวทีซึ่งเลื่อนออกมาได้ภายในหนึ่งนาทีถ้าปลดน็อตเพียงสามตัว เพื่อให้ที่ยกกล้องลื่นเข้ามาได้ ทุกอย่างจะต้องสะดวกต่อการใช้งาน”
เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศ การตบแต่งจะออกแนวแปลกตา มีกลิ่นอายของโมร็อคโค มีโคมไฟที่ผลิตจากแอฟริกาตอนเหนือที่เข้ากับโคมไฟระย้าใหญ่สองสามอัน ผสมผสานระหว่างคริสตัลกับกันสาดผ้าและเบาะที่มีรายละเอียดประดิดประดอยมาอย่างสวยงาม นอกจากนี้ยังมีวอลเปเปอร์ที่ออกแบบและผลิตมาเพื่อฉากของเรื่องนี้โดยเฉพาะอีกด้วย อามาดเฉลยว่า “โต๊ะคอกเทลทำจากกระจกไฟเบอร์โดยด้านบนจะเป็นกระจกเพื่อให้สามารถติดไฟข้างในได้ ทั้งนี้เป็นความคิดที่ผมยืมมาจากภาพยนตร์เพลงยุค 1940”
ถึงแม้ว่าบรรยากาศที่ได้โดยรวมจะเป็นควันๆและรู้สึกอบอุ่น เขาคาดไว้ว่า “เราใช้ไฟไปประมาณ 5000 ดวงทั้งหมดในคลับ ซึ่งรวมที่ใช้งานจริงๆและไฟที่ใช้ประดับที่จะกระพริบส่องแสง รวมทั้งเชือกไฟและไฟเวทีด้วย”
อามาดได้ไปสำรวจนอกสถานที่เพื่อค้นหาสถานที่ถ่ายทำของฉากสำคัญอีกฉากด้วย ซึ่งเป็นสถานที่ๆโจรลักพาตัวใช้กบดานและเป็นที่ซึ่งไว้ซ่อนแสตนและนางงามสหรัฐอเมริกา “บทบอกว่าไว้เป็นกระท่อมร้างกลางทะเลทราย” เขาเล่า “เพราะฉะนั้นจะต้องเป็นที่ๆห่างไกลพอสมควร” ทั้งนี้เขาต้องทำงานภายใต้ขอบเขตที่กำหนดไว้โดยสำนักงานบริหารพื้นที่ ซึ่งอนุรักษ์พื้นที่ๆยังคงบริสุทธิ์อยู่ อามาดพบสถานที่ๆจีน เนวาด้า เป็นพื้นที่ราบระหว่างเขาเล็กๆ ซึ่งมีร่องรอยของถนนลูกรังเก่าๆและทะเลสาบที่แห้งไปแล้วอยู่ไม่ไกล
เมื่อเขาพบสถานที่ถ่ายทำที่ยอดเยี่ยมแล้ว มันก็คงจะเกินความจริงถ้าหากมันมาพร้อมกับกระท่อมเก่าๆที่ต้องการ ดังนั้นจึงต้องทำการสั่งทำโดยตรงจาก ลอส แอนเจลิส ซึ่งสร้างจากแผนง่ายๆของอามาดและพาสคิน การท่อมนั้นแยกชิ้นส่วนมาและขนส่งใส่รถบรรทุกมาที่เมืองจีน แล้วจึงนำมาประกอบใหม่ เมื่อถ่ายทำภายนอกเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงส่งกลับไปสภาพนั้นๆเพื่อนำขึ้นเวทีและสร้างฉากภายในข้างในอีกครั้ง
เครื่องแต่งกาย: ทีน่า เทอร์เนอร์และบิ๊ก เบิร์ดบุกเวทีเข้าแล้ว
ครั้งแรกที่ผู้ชมพบกับเกรซี่ ฮาทในเรื่อง Miss Congeniality ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายให้ความเห็นว่า “เธอได้รับการแต่งองค์ทรงเครื่องใหม่แบบพื้นฐาน” ดีน่า แอปเพล (Deena Appel) ผู้ซึ่งได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Guild Awards สาขาเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยมจากการทำงานในภาพยนตร์เรื่อง Austin Powers: The Spy Who Shagged Me เมื่อปี 1999 “มันไม่ใช่อะไรที่เปลี่ยนแปลงเธอจากข้างใน แต่เป็นการปลอมตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น เธอยังคงเป็นเจ้าหน้าที่เอฟบีไอที่แท้จริง” --- และกลับมาเป็นเหมือนเดิมเมื่อการประกวดสิ้นสุดลง
ในเรื่อง Miss Congeniality 2: Armed and Fabulous เธอกลับมาสวมสูทสีน้ำเงินอีกครั้ง พร้อมกับเสื้อเชิ้ตสีขาวยับๆและร้องเท้าที่ถูกกาลเทศะ โดยทำผมรัดจุกและปอยผมปลิวไปคนละทิศละทาง “แซนดี้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากๆ” แอปเพลอธิบายว่า “เราต้องเริ่มต้นจากธรรมชาติของตัวละคร แบบที่เธอรู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากที่สุด เพราะหลังจากที่เธอผ่านเวทีการประกวดมาเธอแทบจะทนไม่ได้ที่จะได้กลับมาเป็นตัวเธออย่างเดิม”
แต่เป็นโชคร้ายของเธอที่เธอเป็นตัวของตัวเองได้ไม่นาน ก่อนที่เธอจะได้กลับมายืนที่เดิมได้อย่างเต็มภาคภูมิ เธอก็โดนดึงกลับไปอยู่ต่อหน้าสาธารณชนอีกทีซึ่งเป็นบทบาทที่เจ้านายของเธอเห็นว่าเป็นการ “ขัดเกลาความกระด้าง” ส่วนเธอก็เรียกว่า “เป็นการเล่นแต่งตัว” หน้าที่จึงตกเป็นของสไตลิสท์ โจเอล ซึ่งทางกรมจ้างให้มาแนะนำเกรซี่เรื่องผมเผ้า การแต่งหน้า เสื้อผ้า การวางตัว หรือเราอาจจะเรียกได้ว่า การแต่งองค์ทรงเครื่อง ให้กับเจ้าหน้าที่เอฟบีไอชื่อดังคนใหม่ล่าสุด
ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการเลือกเครื่องแต่งกายของโจเอลคือแอปเพลนั่นเอง ซึ่งเธอก็ใช่เหตุและผลในการออกแบบเครื่องแต่งกายให้กับเกรซี่ “เราใช้เครื่องแบบเอฟบีไอเป็นหลักซึ่งเป็นชุดที่เป็นทางการและหาวิธีที่จะทำให้เครื่องแต่งกายนั้นออกมาคนละขั้ว เพื่อที่เวลาเธอเดินเข้ามาในห้องคุณจะได้เห็นการแปลงกายและความน่ารำคาญใจที่เกิดขึ้นจากเปลี่ยนแปลงอย่างสุดขั้ว” เธอเล่า “เพราะฉะนั้น เพื่อให้ตรงกันข้ามกับชุดสูท ขั้นแรกเราก็เริ่มจากการเปลี่ยนเนื้อผ้าซึ่งเป็นแบบส่งประกายสะท้อนเงาวับ ส้นร้องเท้าที่สูงเกินไปนิด โทนสีอ่อนหวานโดยเน้นสีชมพู ฟ้า เหลืองเป็นหลัก แล้วจึงให้เธอใส่เครื่องประดับมุกเยอะๆ ผ้าเช็ดหน้า ต่างหูใหญ่เบ้อเร่อเท่อเกินตัว พร้อมผ้าพันคอที่ดูเกะกะตลอดเวลา ทั้งหมดนี้เพื่อให้เธอกลายเป็นตัวประหลาดเมื่ออยู่ท่ามกลางเพื่อนร่วมงานของเธอ”
ผู้ออกแบบเล่าต่อไปว่า “ในฉากๆหนึ่ง เธอเดินเข้ามาในที่ทำงาน เอฟบีไอที่ลาสเวกัสเพื่อพบหัวหน้าสำนักงานซึ่งเธอใส่เสื้อโค้ทผ้าซาตินสีเหลืองอ๋อย ทำให้เธอเด่นเป็นดอกทานตะวัน เราตั้งใจให้เป็นแบบนั้นเลยล่ะ เธอเองก็ไม่รู้ตัวเลยว่ากลายเป็นตัวประหลาดไปตั้งแต่เมื่อไหร่”
ด้วยแรงผลักดันจากแฟนๆและความต้องการที่จะให้พวกเขาได้รับสิ่งที่พวกเขาคาดหวังกับเกรซี่ ฮาทที่พวกเขาชื่นชน เกรซี่เริ่มยอมรับภาพลักษณ์ใหม่โดยที่ไม่รู้สึกอึดอัด พาสคินกล่าวว่า “ถ้าตัดภาพไปเก้าเดือนให้หลัง เธอแปลงโฉมไปเรียบร้อยแล้วและกลายเป็นเจ้าหน้าที่เอฟบีไอคนสวยในแบบที่เธอสัญญาว่าหัวเด็ดตีนขาดอย่างไรเธอก็จะไม่ยอมเป็น แล้วตอนนี้เธอก็เดินทางโดยใช้ชุดกระเป๋าเฟนดิแบบเข้าเซ็ทพร้อมกับกระเป๋าเครื่องสำอางด้วย ซึ่งในที่สุดแล้วเธอก็นึกขึ้นมาได้ว่ามันเป็นความผิดพลาดและเธอต้องการกลับไปเป็นตัวของตัวเอง”
“การจับเกรซี่แต่งองค์ทรงเครื่อง” เป็นเพียงการโหมโรงของความท้าทายจริงๆที่แอปเพลจะต้องประสบ และความสนุกสุดเหวี่ยงที่สุดที่เธอต้องเจอในการทำงานครั้งนี้คือ --- การออกแบบเครื่องแต่งการสำหรับฉากในบาร์เกย์ที่เกรซี่กับแซมต้องปลอมตัวเป็นนักแสดง (เป็นนางโชว์แห่งลาสเวกัสและนักแสดงเหมือนทีน่า เทอร์เนอร์) เพื่อหาตัวพยานสำคัญให้พบ เป็นที่แน่นนอนโจเอลก็แต่งองค์ทรงเครื่องไปด้วยตามน้ำ เพียงเพื่อต้องการหาความสนุกในยามราตรี
แอปเพลบอกว่า ชุดนางโชว์ของแซนดร้า บูลล็อคไม่ได้มีแต่ความสวยงามเท่านั้น แต่มีความหมายอยู่หลายประเด็นเหมือนกัน ทั้งนี้ยังรอมไปถึงชุดบนเวทีการแสดงและฉากใต้น้ำด้วย เพื่อแฟงความตลกหมวกที่เธอใส่นั้นใหญ่โตเทอะทะพร้อมด้วยหางขนนกซึ่งเป็นอุปสรรคในการขึ้นลงรถเป็นอย่างมาก แอปเพลเตรียมการโดยเข้าไปดูการแสดงที่ลาส เวกัสที่ Jubilee และ La Cage Aux Folles ซึ่งในที่สุดชุดที่ได้คือชุดนกคีรีบูนสีเหลืองที่เธอบอกว่า “เป็นการรวมชิ้นส่วนที่อลังการงานสร้างจาก: กระโปรงที่ทำจากคริสตัลสวาร์รอฟสกี้ ขนนกกระจอกเทศ 8 ช่อที่ย้อมเป็นสีชมพูมีปลายสีเหลือง สร้อยคอเพขรปลอมที่เย็บติดกัน เสื้อย้อมสีแนบตัวเป็นประกายระยิบระยับ ซึ่งออกแบบมาเพื่อให้คิดว่าทั้งชุดนั้นไม่มีสายรัดเลย เป้าหมายของการออกแบบชุดนี้คือเพือผสมผสานหลักการออกแบบและความตลกเข้าด้วยกัน”
“เราว่าชุดนี้ตลกมากตอนแรกที่เราคิดออกมาได้” บูลล็อคเล่าให้ฟัง “หลังจากที่ถ่ายไปห้าวันก็ไม่ตลกเท่าไหร่ เพราะฉันเหมือนบิ๊กเบิร์ดอย่างไงอย่างนั้น เอาเป็นว่าเป็นชุดที่ใส่แล้วขายไม่ออกแน่”
แอปเพลเป็นผู้ออกแบบชุดทีน่า เทอร์เนอร์ให้กับตัวละครของเรจิน่า คิงด้วย ชุดนี้จะมาพร้อมกับวิกผมและร้องเท้าส้นสูงด้วย ซึ่งเธอก็ออกแบบชุดที่เหมือน ”บิ๊กเบิร์ด” ให้กับโจเอลซึ่งแสดงโดยไดดริช เบเดอร์ด้วย โจเอลอธิบายหน้าตาเฉยว่า “บาร์เกย์นั้นไม่ใช่อะไรใหม่สำหรับฉันหรอก ฉันไปอาทิตย์เว้นอาทิตย์อยู่แล้ว และก็การแวกซ์ขนนั้นไม่เจ็บอย่างที่คิดนะ”
จริงๆแล้วการแวกซ์ขนไม่ได้สลักลำคัญเท่าไหร่นัก “แซนดี้ต้องรับน้ำหนักขนาดนั้นไว้บนศรีษะในขณะที่ต้องเต้นเพลง Proud Mary ไปด้วย เธอเลยปวดหัวไปเลยห้าวันรวด” พาสคินเล่า และหนักไปกว่านั้นลักษณะของเนื้อผ้าที่ใช้ตัดชุดก็ไม่น่าให้อภัย “ชุดที่ใส่ออกแบบมาให้เหมือนชุดที่ใช้แสดงบนเวทีมี่ลาส เวกัสจริงๆ” บูลล็อคเล่า “มันเลยฉูดฉาดและแน่นมากๆ หน้ำซ้ำเราต้องขยับเขยื้อนตัวจริงเมื่อใส่ เรจิน่ากับฉันเลยต้องมั่นใจว่าเราต้องใส่มันได้เวลาที่มีถ่ายเพราะฉะนั้นจะทานอะไรก็ต้องระวัง เรานั่งนับวันจนถึงวันสุดท้ายและฉันก็ทานโดนัททันทีเลย แต่ที่แน่ๆต้องการถ่ายแก้ซึ่งฉันก็ต้องแขม่วสุดๆตอนที่ต้องใส่ชุดอีกครั้ง”
ชุดพิเศษที่ต้องทำสำหรับภาพยนตร์นี้ยังมีชุดคนแก่ที่เกรซี่ใส่เพื่อปลอมตัวเข้าไปในบ้านคนชราอย่างห้าวหาญเพื่อสืบความลับ “ชุดคุณยายนักพนัน” ของบูลล็อคออกแบบโดยแอปเพลนั้นเป็นชุดหลุดโลกที่นักแสดงสาวนั้นแอบชอบอยู่ไม่น้อย
(ยังมีต่อ)

แท็ก ภาพยนตร์  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ