กรุงเทพฯ--21 ส.ค.--MMM Digital Asset
PAPER TOWNS ผลงานดัดแปลงจากนวนิยายขายดีโดยนักเขียน จอห์น กรีน (“The Fault in Our Stars”) เป็นเรื่องราวว่าด้วยการเติบโตก้าวพ้นวัยของเควนตินและเพื่อนบ้านผู้น่าพิศวง มาร์โก ซึ่งชอบเรื่องลึกลับมากจนตัวเธอกลายเป็นเรื่องลึกลับเสียเอง หลังจากพาเขาออกผจญภัยตลอดคืนในเมืองบ้านเกิดของทั้งสอง จู่ๆ มาร์โกก็หายตัวไป ทิ้งไว้เพียงคำบอกใบ้อันซับซ้อนซ่อนเงื่อนให้เควนตินไขปริศนา การค้นหานี้นำเควนตินและเพื่อนๆ ผู้มีไหวพริบสู่การผจญภัยอันน่าตื่นเต้นที่ทั้งขำขันและสะเทือนอารมณ์ สุดท้ายเพื่อแกะรอยมาร์โก เควนตินต้องพยายามเข้าใจให้ถ่องแท้ถึงมิตรภาพที่แท้จริง... และรักแท้
เควนติน จาค็อบสัน หรือ “คิว” เป็นเพื่อนที่ฉลาดจริงใจและเป็นคนโรแมนติก เขาอายุสิบเจ็ดปีและกำลังเรียนชั้นปีสุดท้ายที่โรงเรียนไฮสคูล คิวเชื่อว่าทุกคนมีปาฏิหาริย์ในชีวิต และปฏิหาริย์ของเขามาถึงเมื่อเขาอายุเก้าขวบ ในวันที่ มาร์โก รอธ สปีเกลแมน ย้ายมาอยู่บ้างข้างๆ
มาร์โกเป็นนักผจญภัยเสมอ ขณะที่คิวไม่คอยเป็น ตลอดเวลาหลายปีคิวกลายเป็นเพื่อนรักกับเบนและเรดาร์ ส่วนมาร์โกนั้นยิ่งทำตัวโลดโผนและลึกลับมากขึ้นเรื่อยๆ เธอกลายเป็นหนึ่งในกลุ่มเด็กสุดเท่ที่โรงเรียน ดังนั้นคิวและมาร์โกจึงค่อยๆ ห่างเหินกันไป
คืนหนึ่งก่อนงานพรอมเพียงไม่กี่สัปดาห์ มาร์โกมาปรากฏตัวที่หน้าต่างห้องนอนของคิวและแอบพาเขาออกไปผจญภัยตลอดทั้งคืนซึ่งคิวแน่ใจว่าเป็นการส่งสัญญาณถึงการกลับมาเป็นเพื่อนกันอีกครั้ง และอาจมีอะไรมากกว่านั้นด้วย กับหญิงสาวที่เขาคิดว่าไม่มีวันได้รับรักตอบและเป็นคู่แท้ของเขา เขารู้ว่าชีวิตของตัวเองกำลังจะเปลี่ยนแปลงไป แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
เช้าวันรุ่งขึ้นมาร์โกหายตัวไป เธอหายตัวไปเฉยๆ และไม่ได้ทิ้งข้อความไว้ให้ใครเลย หรือจริงๆ แล้วเธออาจทิ้งไว้ คิวเริ่มพบคำใบ้ที่ดูเหมือนว่าทิ้งไว้ให้เขาเท่านั้น สัญญาณที่บ่งบอกว่าเธอไปที่ไหนและทำไมจึงจากไป ด้วยการแก้ปริศนาดังกล่าว การผจญภัยจึงเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง คิวกับเพื่อนๆ อย่างเบนและเรดาร์ รวมทั้งเพื่อนใหม่อย่างเลซีย์และแองเจลา ออกเดินทางเพื่อตามหามาร์โก ในการคลี่คลายปมปริศนานี้ คิวได้ค้นพบความหมายที่แท้จริงของมิตรภาพและความซับซ้อนของบุคลิกอันลึกลับในตัวมาร์โก
‘เมืองกระดาษ’
Paper Towns นวนิยายเรื่องที่สามของจอห์น กรีน ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ Dutton Books หนังสือเล่มนี้ได้รับความนิยมทันที โดยเปิดตัวเป็นอันดับห้าในรายชื่อหนังสือขายดีของ The New York Times ประเภทเรื่องแต่งสำหรับเยาวชน
หนังสือเล่มนี้มีแฟนๆ อยู่ทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐ ยุโรป อเมริกาใต้ และบางส่วนของเอเชีย
ผู้อ่านรู้สึกผูกพันกับตัวละครและฉงนสงสัยเมื่อได้ยินชื่อหนังสือ คำว่า “เมืองกระดาษ” ถูกตั้งขึ้นเมื่อนักวาดแผนที่ เอิร์นเนสต์ จี อัลเพอร์ส และออตโต ลินด์เบิร์ก จากบริษัท General Drafting Company สร้างเมืองชื่อแอ็กโกลในรัฐนิวยอร์กขึ้นโดยใส่เมืองสมมตินี้ลงไปในแผนที่ตรงสี่แยกซึ่งถนนลูกรังสองเส้นตัดกันในเทือกเขาแคตสกิลส์ตอนใต้
ทั้งสองทำเช่นนั้นเพื่อปกป้องลิขสิทธิ์ ถ้าเมืองที่พวกเขาสมมติขึ้นไปปรากฏในแผนที่อื่น ก็จะได้มีข้อยืนยันว่าผลงานของพวกเขาถูกลอกไป
แต่สิ่งที่น่าสนใจที่สุดในเรื่องนี้คือตัวละครและมิตรภาพระหว่างกัน “นี่คือเรื่องของเควนตินและเพื่อนๆ ที่ออกตามหามาร์โก แต่สุดท้ายมันกลายเป็นการเดินทางครั้งยิ่งใหญ่” จอห์น กรีน กล่าว “เป็นการค้นหาความหมายที่ลึกซึ้งของมิตรภาพและเรียนรู้ที่จะจินตนาการถึงผู้อื่นว่ามีความซับซ้อนกว่าที่เราเห็นในครั้งแรก”
แนวคิดเหล่านั้นตรงใจคนหนุ่มสาว กรีนกล่าวว่า “วัยรุ่นทุกคนรู้ดีถึงความรู้สึกของการถูกเหมารวม ถูกมองว่าเป็นอะไรสักอย่าง ทั้งที่จริงแล้วคุณเป็นอะไรตั้งหลายอย่าง ดังนั้นผมคิดว่านั่นเป็นสิ่งแรกที่ผู้คนจะเข้าถึงได้ ผมมองว่าผู้ชมจะเข้าถึงเรื่องราวความรักภายในหนัง และจากนั้นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผมก็คือนี่เป็นหนังตลกเกี่ยวกับมิตรภาพที่แท้จริง และเรื่องที่ว่ามิตรภาพที่แท้จริงหล่อเลี้ยงคุณได้อย่างไร ความรักแบบโรแมนติกไม่ใช่ความรักเพียงรูปแบบเดียวที่มีคุณค่า”
ประชากรใน ‘เมืองกระดาษ’ – นักแสดงและทีมงานผู้สร้าง
สำหรับผู้อำนวยการสร้าง วิค ก็อดฟรีย์ ซึ่งเป็นผู้อำนวยการสร้างของ The Fault in Our Stars การตัดสินใจเข้ามาทำผลงานดัดแปลงจากหนังสืออีกเล่มของจอห์น กรีน นับว่าดึงดูดใจอย่างยิ่ง “ผมกับเพื่อนร่วมงาน มาร์ตี โบเวน ได้อ่าน Paper Towns ก่อนที่จะอ่าน The Fault in Our Stars เสียอีก” เขากล่าว “ดังนั้นระหว่างที่เราทำ The Fault in Our Stars เราก็เริ่มคุยกับจอห์นเรื่องโครงการใหม่ เราถามถึง Paper Towns สิ่งที่ผมชอบในเรื่องนี้คือมันเป็นทั้งเรื่องลึกลับ เรื่องผจญภัย และเรื่องตลก รวมทั้งมีความเป็นภาพยนตร์อย่างชัดเจน”
จอห์น กรีน กล่าวว่าประสบการณ์ที่เขาได้รับจากกองถ่าย The Fault in Our Stars เป็นปัจจัยหลักในการมอบเรื่องนี้ให้อยู่ในความดูแลของทีมผู้สร้างทีมเดิม “ผมได้ผู้อำนวยการสร้างที่พิเศษสุดอย่าง วิค ก็อดฟรีย์, ไอแซค คลอสเนอร์ และมาร์ตี โบเวน ซึ่งต้อนรับผมที่กองถ่ายทุกวันเหมือนเช่นเคย และให้ผมได้มีส่วนร่วมในหนังทั้งสองเรื่อง แม้ไม่มีอะไรกำหนดไว้ในสัญญาก็ตาม” นักเขียนรายนี้กล่าว “เป็นประสบการณ์ในฝันเลยครับ PAPER TOWNS เป็นโอกาสที่จะได้นำเสนอเรื่องราวที่แตกต่างออกไปมาก [จาก The Fault in Our Stars] แต่ใช้รูปแบบการทำหนังแบบเดียวกันและเผยแพร่ไปสู่ผู้ชม”
ในการเขียนบทน ก็อดฟรีย์หันไปหามือเขียนบท สก็อตต์ นูสแต็ดเทอร์ และไมเคิล เอช เวเบอร์ ซึ่งเป็นผู้ดัดแปลง The Fault in Our Stars นูสแต็ดเทอร์กล่าวว่าทั้งสองยินดีที่จะได้กลับมาร่วมทีมกับกรีน “เป็นเรื่องดีครับที่ได้กลับมาร่วมงานกันอีกครั้ง และเป็นประสบการณ์อันล้ำค่าที่เราได้กลับมาทำงานนี้อีก”
เวเบอร์ก็กระตือรือร้นไม่แพ้กัน เขากล่าวว่า “จอห์น กรีนเป็นนักเขียนที่เยี่ยมมาก ทำให้งานของเราง่ายขึ้นเยอะครับ หนังสือของเขาวางพล็อตมาเป็นอย่างดี แนวคิดและตัวละครโดดเด่นมาก และบทพูดก็เหมือนลอยออกมาจากหน้ากระดาษได้เลย โชคร้ายที่เราไม่สามารถเก็บทุกอย่างในหนังสือเอาไว้ได้ ดังนั้นการตัดสินใจว่าอะไรจะยังอยู่และอะไรต้องตัดทิ้งเป็นจึงเป็นส่วนที่ยากที่สุดในการทำงาน”
นูสแต็ดเทอร์เสริมว่า “เรามองหนังสือของจอห์นในฐานะแฟนหนังสือเป็นอันดับแรก เราต้องคิดว่าจะสรุปน้ำเสียงในหนังสือออกมาเป็นภาพยนตร์ให้ดีที่สุดได้อย่างไร ความท้าทายในการดัดแปลงหนังสือของจอห์นคือการค้นหาวิธีการที่ดีที่สุดในการถ่ายทอดความคิดภายในของตัวละคร ไม่ว่าจะผ่านบทพูด การกระทำ หรือปฏิกริยาโต้ตอบระหว่างกัน”
ทีมงานเก่าคนสำคัญอีกคนหนึ่งจาก The Fault in Our Stars คือ แน็ตต์ โวลฟ์ ซึ่งรับบทเป็นไอแซ็คในหนังดังจากปี 2014 เรื่องดังกล่าว ในกองถ่ายของ Fault นั่นเองที่ผู้อำนวยการสร้างบริหาร ไอแซ็ค คลอสเนอร์ ติดต่อให้ แน็ตมารับบทนำใน PAPER TOWNS “ตอนเราอยู่ในกองถ่าย ไอแซ็คบอกผมพร้อมกับทำแววตามีเลศนัยว่าผมน่าจะลองอ่าน Paper Towns ดูนะ” นักแสดงรุ่นเยาว์กล่าว “กลายเป็นว่าผมชอบหนังสือเล่มนี้ของจอห์นครับ และผมผํกพันกับตัวละครคิวทันทีเลย อีกราวหกเดือนต่อมา วิค ก็อดฟรีย์ ก็เสนอให้ผมเล่นบทนี้ ผมตอบตกลงโดยที่เขายังไม่ทันพูดให้จบประโยคด้วยซ้ำไป”
โวลฟ์กล่าวว่าเขาสนใจการก้าวพ้นวัยในเรื่องนี้ “คิวเป็นตัวละครที่ระวังตัว ฉลาด และมุ่งมั่นตั้งใจ” เขาอธิบาย “เขาวางแผนการต่างๆ มากมาย แต่นอกเหนือจากมิตรภาพระหว่างเขากับ [เพื่อนซี้] เรดาร์และเบน เขาหลีกหนีจากทุกสิ่งทุกอย่างในโลก แต่ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างเขากับมาร์โกและการเดินทางเพื่อค้นหาเธอ เขาจึงได้เรียนรู้ที่จะกล้าเสี่ยงและเปิดรับสิ่งต่างๆ”
การที่โวลฟ์แสดงในหนังจากนิยายของจอห์น กรีนเป็นครั้งที่สองนับเป็นข่าวดีสำหรับตัวผู้เขียน “แน็ตเป็นคนที่หายากมากๆ ครับ” กรีนกล่าว “เขามีความสามารถไม่ธรรมดาในฐานะนักแสดง แล้วยังเป็นคนใจดีและใจกว้างอย่างไม่ธรรมดาอีกด้วย”
การที่โวลฟ์ได้รับคัดเลือกในการทำงานช่วงแรกๆ นับเป็นรางวัลพิเศษให้แก่นูสแต็ดเทอร์และเวเบอร์ “Paper Towns ถือเป็นงานแรกที่เรารู้ว่านักแสดงนำของเราเป็นใครก่อนที่เราจะเริ่มต้นเขียนบท” เวเบอร์อธิบาย “ทำให้งานของเราง่ายขึ้นเพราะเรารู้ว่าแน็ตสามารถรับมือกับอะไรก็ตามที่เราโยนไปให้เขา และทำให้มันดียิ่งขึ้นกว่าเดิมด้วย”
ด้านการกำกับนั้น ทีมผู้อำนวยการสร้างได้หันไปหา เจค เชรเออร์ ซึ่งมีผลงานหนังดรามา Robot & Frank ที่ไปสะดุดตาทีมงานเข้า คลอสเนอร์กล่าวว่าหนังเรื่องนั้น “พิเศษสุด” และ “เป็นหลายสิ่งหลายอย่างได้พร้อมกัน เป็นเรื่องราวอันน่าสะเทือนใจเกี่ยวกับการรับมือโรคอัลไซเมอร์ เป็นดรามาชวนซาบซึ้ง เป็นหนังคู่หูตลกทะเล้น แล้วยังเป็นหนังเกี่ยวกับการวางแผนปล้นด้วย”
คลอสเนอร์เล็งเห็นความสอดคล้องระหว่างหนังของเชรเออร์กับเรื่องราวของกรีน “เช่นเดียวกับหนังสือของจอห์น Robot and Frank มีจิตใจที่เปิดกว้างและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กับผู้ชม” เขาอธิบาย “เจคเป็นผู้กำกับคนแรกที่เราส่งนิยายและบทหนังให้ ความตื่นเต้นที่เขามีต่อ PAPER TOWNS ทำให้เราต้องทึ่ง เจคเดินทางมายังออร์แลนโดเพื่อสำรวจสถานที่ถ่ายทำด้วยตัวเอง เขาตามรอยสถานที่ทุกแห่งซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้จอห์นในการเขียนนวนิยาย เจคยังได้ถ่ายภาพที่สวยมาก และช่วยให้เรามองเห็นภาพไม่เพียงแต่ในตัวหนังที่เราหวังว่าจะได้เห็น แต่ยังรวมถึงอย่างอื่นอีกมาก
“เจคนำเสนอวิสัยทัศน์ของเขาต่อหนังเรื่องนี้ได้อย่างน่าทึ่ง” ก็อดฟรีย์เสริม “เขาเข้าใจคิวและการเดินทางของตัวละครนี้ เจคเข้าใจความรู้สึกของการพยายามผ่านพ้นช่วงไฮสคูลและก้าวต่อไปสู่ชีวิตที่รออยู่ข้างหน้า แต่มักมีบางสิ่งเกิดขึ้นในนาทีสุดท้ายที่ทำให้คุณต้องหงายหลัง”
เชรเออร์ถือว่าตัวเองเป็นแฟนหนังสือคนหนึ่ง “หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องลึกลับชวนพิศวง รวมถึงอะไรๆ อีกหลายอย่าง” เขากล่าว “นอกจากนี้ ผมยังชอบการบรรยายถึงนักเรียนไฮสคูลและประสบการณ์ที่พวกเขาได้รับ หนังสือสื่อประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับการที่เรากำหนดภาพลักษณ์ต่างๆ ให้คนอื่น และความลำบากในการรักษาภาพลักษณ์นั้นเอาไว้
“ผมชอบศักยภาพในเชิงภาพของเรื่องนี้ด้วย” เชรเออร์กล่าวต่อ “ความลึกลับเพิ่มองค์ประกอบที่เป็นแรงขับเคลื่อน ซึ่งช่วยให้ผมเชื่อมโยงภาพและผลักดันตัวละครไปสู่เรื่องราว”
การทำงานกับกรีนก็เป็นประสบการณ์สำคัญอีกส่วนหนึ่งสำหรับผู้กำกับรายนี้ “สิ่งแรกที่ผมรู้สึกเกี่ยวกับจอห์นและการได้เขามาร่วมทีมในฐานะผู้อำนวยการสร้างบริหารคือ เขาต้องการทำหนังดีๆ ด้วยการดึงจิตวิญญาณจากหนังสือของเขาออกมา เขาตื่นเต้นมากที่ได้มีส่วนร่วมครับ”
แน็ต โวลฟ์ ซึ่งกลายมาเป็นเพื่อนสนิทกับกรีนเล่าต่อถึงการปรากฏตัวของผู้เขียนในกองถ่าย “มันตลกดีครับเพราะจอห์นชอบพูดเล่นว่าในกองถ่ายเขาก็แค่เดินไปรอบๆ และกินอาหารกองถ่ายแค่นั้น แต่ในความเป็นจริงเขาสร้างบรรยากาศให้กองถ่ายเพราะเขามีอารมณ์ขันสูงมากและคอยให้กำลังใจนักแสดงได้อย่างดีเลย จอห์นทุ่มเทให้กับกระบวนการดัดแปลงหนังสือของเขาให้เป็นหนังมากครับ เป็นเรื่องง่ายที่จะจินตนาการว่าเมื่อนักเขียนอยู่ในกองถ่าย เขาอาจได้รับประสบการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในโลก เหมือนกับว่า ‘พวกนี้มาทำลายหนังสือฉัน!’ หรืออะไรแบบนั้น แต่จอห์นอยู่ที่นั่นพร้อมกับเราเสมอ เขาเชื่อมั่นในตัวพวกเรา”
เมื่อได้โวลฟ์และเชรเออร์มาร่วมทีม ภารกิจลำดับต่อไปคือการหาผู้มารับบทสำคัญเป็น มาร์โก ร็อธสปีเกลแมน โดยจอห์น กรีน ได้กล่าวถึงการสร้างตัวละครนี้จากประสบการณ์จริงว่า “ผมรู้จักเด็กผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเหมือนมาร์โกเมื่อยังเด็ก” เขานึกย้อน “เขาชนะเดิมพันเป็นเงิน 100 เหรียญด้วยการกระโดดขึ้นรถไฟขนสินค้าและเดินทางจากอลาบามาไปยังเทนเนสซี แล้วก็ต้องจ่ายมากกว่า 100 เหรียญเยอะเพื่อนั่งรถบัสกลับมา เขาเป็นคนประเภทที่ยอมเสียเงินเพื่อชนะเดิมพัน”
มาร์โกเป็นขั้วตรงกันข้ามกับคิว “คิวคิดว่าเขาเตรียมทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว” เชรเออร์กล่าว “เขาจัดการเรื่องการเรียน มีเพื่อนฝูง และวางแผนจะเข้าวิทยาลัย จากนั้นก็เป็นโรงเรียนแพทย์ มาร์โกไม่วางแผนการอะไรไกลไปกว่าสัปดาห์สองสัปดาห์ข้างหน้า และเมื่อทั้งสองได้กลับมาสานสัมพันธ์กันในคืนคืนหนึ่ง เธอก็เป็นแรงบันดาลใจให้เขากล้าเสี่ยงขึ้นกว่าเดิม เธอบังคับให้เขาต้องออกจากพื้นที่ปลอดภัยของตัวเอง”
อย่างที่กรีนอธิบาย มุมมองที่คิวมีต่อมาร์โกเป็นองค์ประกอบสำคัญในเรื่องนี้ “มีความไม่สอดคล้องกันระหว่างภาพที่เราจินตนาการถึงสิ่งสิ่งหนึ่งกับประสบการณ์จริงที่เราได้รับจากสิ่งสิ่งนั้น” เขาระบุ “ผมคิดว่าภาพที่คิวมองมาร์โกแตกต่างจากธรรมชาติที่แท้จริงของมาร์โกไปมาก นามสกุลของมาร์โกคือสปีเกลแมน และสปีเกลแมนหมายถึง ‘คนทำกระจก’ ในภาษาเยอรมัน สิ่งที่ผู้คนเห็นในตัวมาร์โกคือภาพสะท้อนของตัวเองและไม่ได้บ่งบอกถึงสิ่งที่ตัวเธอเป็นจริงๆ สำหรับมาร์โกแล้วนั่นเป็นเรื่องน่าโมโห การใช้ชีวิตแบบนั้นเป็นเรื่องยากจริงๆ
“เธอเป็นเด็กสาวที่ถูกมองภาพแบบผิดๆ มาทั้งชีวิต” กรีนกล่าวต่อ “มักจะมีเด็กผู้หญิงชั้นไฮสคูลที่สวยเท่สุดๆ จนดูเหมือนเธอเดินมาแบบสโลว์โมชัน มาร์โก ร็อธ สปีเกลแมนใช้ชีวิตทั้งชีวิตเป็นเด็กสาวคนนั้นในสายตาคนอื่น และรู้สึกคับแค้นใจที่ไม่มีใครเข้าใจความซับซ้อนของตัวเธอเช่นเดียวกับที่ผู้หญิงทุกคนรู้สึก แล้วจะมีใครรู้เรื่องนี้ดีไปกว่า คารา เดเลวีนล่ะ ใครจะเข้าใจว่าการเป็นคนด้านหลังกระจกเป็นอย่างไรได้ดีไปกว่านักแสดงสาวที่มีความสามารถและยังเป็นซูเปอร์โมเดลที่โด่งดังด้วย”
กระบวนการคัดเลือกเดเลวีนไม่ใช่เรื่องง่าย “เรารู้ว่ามาร์โกต้องเป็นสาวไฮสคูลที่สมบูรณ์แบบเกินเอื้อมถึง” ก็อดฟรีย์กล่าว “เป็นคนที่บรรดาหนุ่มๆ คร่ำครวญถึงแต่ไม่มีวันคว้ามาครอง เรารู้ด้วยว่าบทนี้ต้องใช้นักแสดงหญิงที่มีความเปิดเผยโผงผางและกร้าวแกร่ง ขณะเดียวกันก็มีความเปราะบางและบอบช้ำทางอารมณ์อยู่ด้วย”
“เป็นการคัดเลือกนักแสดงที่ยากมากครับ” เชรเออร์ยืนยัน “เราต้องให้เกียรติความเป็นมาร์โก และหาหญิงสาวซึ่ง ถ้าเธอมาหาที่หน้าต่างบ้านคุณตอนเที่ยงคืน คุณจะยอมกระโดดหน้าต่างออกไปหาเธอ แล้วเมื่อเธอหายตัวไป คุณก็จะขับรถไกล 1200 ไมล์เพื่อตามหาเธอ”
“เราโชคดีที่ได้พบคารา” ก็อดฟรีย์กล่าว “เธอมีความอบอุ่น ความอ่อนโยน และความเป็นคนสนุกสนานที่ปรากฏให้เห็นบนจอภาพยนตร์ด้วย สิ่งที่ตรงใจผมมากที่สุดเกี่ยวกับคาราคือการที่เธอสามารถเข้าถึงวิธีการที่มาร์โกสร้างบุคลิกซึ่งมาร์โกมองว่าจำเป็นต้องรักษาเอาไว้ นั่นไม่ใช่มาร์โกที่แท้จริง ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจว่าหนทางเดียวสู่การค้นพบตัวเองก็คือการออกจากเมืองนี้ไป คาราเข้าถึงประเด็นนี้ได้จริงๆ”
เพื่อเล่นเป็นนักเรียนไฮสคูลอเมริกัน นักแสดงชาวอังกฤษรายนี้ต้องทิ้งสำเนียงอังกฤษและพูดแบบอเมริกันตลอดการทำงานในกองถ่ายทั้งหน้ากล้องและหลังกล้อง เธอได้ดูหนังที่ดัดแปลงจาก The Fault in Our Stars และอ่าน Paper Towns แล้วก็มองว่านี่เป็นงานที่เธอต้องมีส่วนร่วมด้วย “ฉันเริ่มอ่านนิยายและสังเกตเห็นความคล้ายคลึงกันระหว่างมาร์โกกับตัวฉัน” เดเลวีนกล่าว “ฉันจำได้ว่าตอนไปทดสอบบทมาร์โกครั้งแรก ฉันพูดว่า ‘ฉันเคยเป็นแบบเธอ’ ฉันคิดว่านั่นอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ฉันได้รับบทนี้ค่ะ เพราะฉันสามารถสำรวจบทบาทนี้ในตัวของฉันเอง”
หัวใจของ PAPER TOWNS อยู่ที่การบรรยายถึงมิตรภาพและการผจญภัยที่ตามมา ความลึกลับ และแม้กระทั่งเหตุการณ์ร้ายแรงที่รวมคนหนุ่มสาวไว้ด้วยกันในช่วงเวลาสำคัญของชีวิต คิว เบน และเรดาร์เป็นเพื่อนรักกัน ความใกล้ชิดสนิทสนมนี้ยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อมาร์โกหายตัวไป กรีนอธิบายไว้ว่า “คิว เบน และเรดาร์สนิทกันมาก แต่เมื่อช่วงเวลาในไฮสคูลใกล้จะจบลง พวกเขาก็ต้องรับมือกับความเป็นจริงที่ว่ามิตรภาพระหว่างกันกำลังจะเปลี่ยนแปลงไปในไม่ช้า”
“มีความผูกพันกันอยู่จริงๆ ในเพื่อนกลุ่มนี้ เพราะฉะนั้นอารมณ์ขันที่ถ่ายทอดออกมาจึงดูถูกที่ถูกทางและสมจริง” เชรเออร์เสริม
“เบนเป็นเด็กเนิร์ดที่อยากมีแฟนมากแต่ไม่รู้ว่าจะหาแฟนได้ยังไง” ออสติน แอบรัมส์ซึ่งรับบทนี้กล่าว “ก็เหมือนตัวละครอื่นๆ เขาพบความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในมุมมองที่เขามีต่อสาวๆ แล้วก็ได้ตระหนักว่าสาวที่เขาแอบชอบมานาน เลซีย์ ไม่ได้แค่น่ารักแต่ยังเป็นคนที่เยี่ยมมากและอ่อนหวานมากด้วย”
สำหรับบทเรดาร์ ผู้สร้างหนังได้เลือกนักแสดงหน้าใหม่ จัสติซ สมิธ “เรดาร์เป็นเด็กอ่อนโยนที่เล่นแซ็กโซโฟนในวงของโรงเรียน” สมิธกล่าว “เขาค่อนข้างกลัวที่จะพาแองเจลา แฟนของเขา ไปที่บ้าน เพราะพ่อแม่เขาสะสม
แบล็คซานตาไว้เยอะที่สุดในโลก เขาอายมากที่บ้านของเขามีแบล็คซานตาอยู่สัก 4,200 ตัวได้”
กรีนใช้องค์ประกอบส่วนนี้เป็นกระจกสะท้อนมุมมองผิวเผินที่คิวมีต่อมาร์โกในช่วงแรก “มันน่าขันที่เรามองซานตาให้เป็นภาพยิ่งใหญ่ได้ขนาดนั้น” เขาชี้ “มีช่วงหนึ่งในเรื่องที่แองเจลาพูดหลังจากได้รู้เรื่องของสะสมที่ไม่เหมือนใครนี้ว่า ‘ฉันว่าเจ๋งดีออกที่พ่อแม่นายช่วยให้ซานตาดูซับซ้อนขึ้นมา’”
นอกจากนี้ในทีมนักแสดงยังมีฮาลสตัน เซจ ในบทเลซีย์ และแจซ ซินแคลร์ ในบทแองเจลา โดยจอห์น กรีน ได้อธิบายถึงจุดแข็งพิเศษของตัวละครทั้งสองตัวนี้ว่า “เลซีย์ เพมเบอร์ตัน เป็นสาวผมบลอนด์และร่าเริง แล้วผู้คนก็มักตั้งสมมติฐานต่างๆ นานาเกี่ยวกับตัวเธอ อันที่จริงเลซีย์ค่อนข้างซับซ้อน และนักแสดงที่รับบทเป็นเธอ ฮาลสตัน เซจ ก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน เวลาคุณพบฮาลสตัน คุณจะคิดว่า ‘ฉันรู้ดีน่าว่าเด็กสาวผมบลอนด์จากแคลิฟอร์เนียเป็นยังไง’ แต่พอคุณได้ทำความรู้จักเธอ เธอก็จะค่อยๆ ลบล้างความคิดเดิมๆ เหล่านั้นไป
“และตัวละครแองเจลาก็เป็นคนหนักแน่นที่สุดในหนัง” กรีนกล่าวต่อ “เธอไม่ได้คิดออกทุกอย่างหรอก แต่ในช่วงเวลาสำคัญเธอจะควบคุมสถานการณ์ได้”
การเอาชนะความคิดอคติต่อผู้คนในชีวิตเราเป็นแนวคิดที่ดึง ฮาลสตัน เซจ มาร่วมงานนี้ “ฉันตกหลุมรักการบรรยายภาพของเลซีย์ในเรื่องว่าเป็นคนที่อยากให้คนอื่นเห็นคุณสมบัติที่แท้จริงของตัวเธอ” ฮาลสตันกล่าว “เธอฉลาดมากและไม่ได้สนใจอยากเป็นคนเด่นดัง เลซีย์เริ่มออกจากโลกของตัวเองเมื่อมาผูกมิตรกับคิว เบน และเรดาร์ ซึ่งเธอไม่ได้รู้จักมากนักตลอดช่วงเวลาส่วนใหญ่ในไฮสคูล เธอเป็นตัวละครที่เข้าถึงได้และคุณจะรู้ได้ว่าเธอมีความอ่อนโยนซ่อนอยู่”
อีกคนที่ร่วมการเดินทางกับเลซีย์และหนุ่มๆ คือแองเจลา รับบทโดยแจซ ซินแคลร์ นักแสดงสาวรายนี้กล่าวว่าบทบาทนี้ลงตัวเป็นที่สุด เธออธิบายว่าแองเจลา “ไม่ได้มีบุคลิกตรงตามแบบแผนไหน เรดาร์ทำตัวเหมือนกลัวเธอในช่วงครึ่งแรกของหนัง และคุณคิดว่าแองเจลาต้องเป็นคนน่ารำคาญแน่ แต่เมื่อเรื่องราวดำเนินไป เธอก็เผยให้เห็นว่าเป็นแฟนสาวที่เจ๋งมาก เธอรักเรดาร์อย่างจริงใจและกระตือรือร้นที่จะร่วมการผจญภัยใดๆ ก็ตามที่รออยู่”
โดยที่ทีมผู้สร้างหนังไม่ทราบ ซินแคลร์และสมิธเคยร่วมงานกันมาก่อนและรู้จักกันดีทีเดียว “เราเลยได้ความเข้ากันได้ของสองคนนี้มาเป็นของแถมครับ” เชรเออร์กล่าว
ตัวละครทุกตัวล้วนมีความเข้าถึงได้เป็นปัจจัยสำคัญร่วมกัน ทั้งนี้เป็นเพราะน้ำเสียงอันมีเอกลักษณ์ของจอห์น กรีน และความสามารถของเขาในการสร้างตัวละครเอกวัยหนุ่มสาวที่สมจริง มีความเป็นห่วงเป็นใย และมีหลายมิติ แน็ต โวลฟ์ กล่าวว่า “PAPER TOWNS ทั้งตลก โรแมนติก และแน่นอนมีความสมจริงด้วย มันทำให้ผมนึกถึงเพื่อนๆ ของผมหลายคนในช่วงไฮสคูล และสาวๆ หลายคนที่ผมเคยตกหลุมรัก ทั้งหมดนี้ใกล้เคียงความจริงมากจนน่ากลัวเลยครับ”
กรีนยกให้ความสมจริงของตัวละครเป็นผลมาจากความผูกพันที่นักแสดงมีต่อตัวละครที่ตนเองรับบท รวมถึงความผูกพันในทีมนักแสดง “นักแสดงหนุ่มสาวทั้งหกคนกลายเป็นเพื่อนสนิทกันจริงๆ ผมคิดว่าพวกเขาจะเป็นเพื่อนกันไปจนตลอดชีวิต พวกเขากลายเป็นกลุ่มเพื่อนที่เหนียวแน่นอย่างที่ผมหวังมาตลอด และผมชื่นชมพวกเขาครับ พวกเขาทำให้ผมรู้สึกแก่มาก แต่ก็ทำให้ผมมีความสุขมากเช่นกัน”
เพราะแก่นของเรื่องราวนี้คือการเดินทางไปตามท้องถนน กองถ่ายจึงจำเป็นต้องถ่ายทำตัวละครทั้งหมดในรถแวนที่กำลังเดินทางจากเมืองออร์แลนโด รัฐฟลอริดาไปยังเมืองแอ็กโกลในรัฐนิวยอร์ก เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ ทีมงานได้ตั้งกองถ่ายที่เมืองชาร์ล็อตต์ รัฐนอร์ธแคโรไลนา ซึ่งสภาพภูมิประเทศอันหลากหลายช่วยให้ภาพสำหรับการเดินทางทั้งหมดด้วยรถแวนในสถานที่ถ่ายทำเดียว โดยมีการใช้เพลตวิชวลเอฟเฟ็กต์และการให้แสงแบบอินเตอร์แอคทีฟมาสร้างฉากหลังเพิ่มเติม
เชรเออร์และทีมนักแสดงต้องรับมือกับสภาพเงื่อนไขที่ท้าทายในการถ่ายทำ “การถ่ายทำในรถแวนไม่ใช่สิ่งที่ง่ายและสนุกนัก” เขากล่าว เพื่อเสริมแรงขับเคลื่อนในทีมนักแสดงหนุ่มสาว เชรเออร์ได้ปล่อยให้นักแสดงเล่นอย่างอิสระ “มีหลายช่วงที่เป็นการเล่นสดและเราก็สนุกกับการปล่อยให้มันไหลไปครับ”
กล้องมักมีส่วนร่วมสำคัญในฉาก โดยเชรเออร์กล่าวว่าการวางกล้องมีส่วนช่วยได้มากในการ “กำหนดมุมมองของคิวและเพิ่มความลึกลับ”
สำหรับเชรเออร์แล้ว การเดินทางของตัวละครสะท้อนประสบการณ์หลายอย่างของตัวเขาเองในสมัยไฮสคูล “PAPER TOWNS เกี่ยวข้องกับช่วงเวลาหนึ่งซึ่งผมจำได้ดีในตอนท้ายๆ ของการเรียนไฮสคูล” เขาอธิบาย “ผมคิดว่าทุกคนมองว่ามันเป็นช่วงเวลาสำคัญ เพราะเป็นครั้งสุดท้ายที่คุณจะได้พบเพื่อนๆ ส่วนใหญ่ และต่างคนต่างก็แยกย้ายกันไป มันเริ่มต้นจากการเป็นเรื่องราวโรแมนซ์ แล้วในระหว่างนั้นก็กลายเป็นอีกสิ่งหนึ่งซึ่งแตกต่างออกไปจากเดิมมาก กลายเป็นเรื่องราวของมิตรภาพ รวมถึงความสัมพันธ์และมุมมองที่เรามีต่อกัน”