กรุงเทพฯ--21 ส.ค.--กรมสุขภาพจิต
นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า กรมสุขภาพจิตได้จัดทีมช่วยเหลือเยียวยาจิตใจผู้ประสบภัย หรือทีม MCATT (Mental Health Crisis Assessment and Treatment Team) ลงพื้นที่ดูแลจิตใจ ผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุระเบิดรุนแรงที่ผ่านมา เพื่อประเมินภาวะสุขภาพจิต ปฐมพยาบาลจิตใจ ให้กำลังใจ และเยียวยา ให้การปรึกษา ลดภาวะความเครียด ตลอดจนสร้างแรงใจให้สามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ ป้องกันการเกิดบาดแผลทางจิตใจในระยะยาว โดยแบ่งผู้ได้รับผลกระทบออกเป็น 3 กลุ่มได้แก่ 1.ครอบครัวผู้เสียชีวิต 2. กลุ่มผู้ได้รับบาดเจ็บและญาติผู้ได้รับบาดเจ็บ และ 3.ชาวต่างประเทศ ทั้งนี้ หากพบมีความเครียดสูง มีภาวะซึมเศร้า เสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย ก็จะรีบเข้าไปช่วยเหลือ พูดคุย ให้กำลังใจ ช่วยลดความเครียดลง สำหรับรายที่มีอาการนอนไม่หลับอย่างรุนแรง ท้อแท้ หรือเครียดมากๆ จนถึงขั้นกระสับกระส่าย ไม่มีสมาธิ อาจต้องให้ยาคลายความเศร้า หรือยาคลายความเครียดที่จะทำให้การนอนหลับดีขึ้นร่วมด้วย โดยจะมีการติดตามอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่องต่อไป
ด้าน แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร รองอธิบดีกรมสุขภาพจิตกล่าวเสริมว่า ความสูญเสียที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่สะเทือนจิตใจ และกระทบต่อความรู้สึก โดยเฉพาะครอบครัวที่ต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปอย่างกะทันหัน ซึ่งอาการปกติที่สามารถพบได้ คือ การร้องไห้ฟูมฟาย เศร้าโศกเสียใจ ที่ถือว่าเป็นเรื่องธรรมชาติและไม่ผิดปกติแต่อย่างใด แต่ก็ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ เพราะอาจเสี่ยงเกิดภาวะซึมเศร้าได้ อาการที่อาจพบ เช่น 1.มีการโทษหรือตำหนิตัวเองอย่างมาก มีความรู้สึกผิดเกินจริง เสียความเชื่อมั่นในตัวเอง โทษหรือตำหนิตัวเองว่าเป็นสาเหตุให้บุคคลนั้นเสียชีวิต 2. มีความคิดหรือความตั้งใจจะฆ่าตัวตาย หรือมีการพยายามฆ่าตัวตาย 3. เคลื่อนไหวเชื่องช้าหรือกระวนกระวายใจเป็นอย่างมาก และ 4. มีความผิดปกติทางจิต เช่น มีอาการประสาทหลอน ได้ยินคนที่เสียชีวิตไปแล้วมาพูดคุยด้วยอยู่ตลอดเวลา รวมทั้ง มีอาการหลงผิด เช่น หลงผิดว่าตัวเองทำบาปกรรมในอดีต จึงถูกลงโทษ เป็นต้น
ในการดูแลจิตใจผู้สูญเสียให้สามารถก้าวผ่านวิกฤตที่เกิดขึ้นไปได้นั้นรองอธิบดีกรมสุขภาพจิต ได้แนะ 4 อย่า ดังนี้ 1.อย่า จมอยู่กับชีวิตตนเองคนเดียว ยอมรับความสูญเสียและอยู่กับความจริงในปัจจุบันให้ได้ แม้ว่าอาจจะเป็นเรื่องยากและต้องใช้ระยะเวลา 2.อย่า เก็บความรู้สึกเจ็บปวดไว้คนเดียว อาจร้องไห้ และพูดระบายความทุกข์ให้คนใกล้ชิดที่ไว้ใจรับฟังบ้าง เพื่อให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย 3.อย่า โทษตนเองหรือคนอื่น เพราะไม่ได้ช่วยทำให้รู้สึกดีขึ้น และ 4.อย่า ดื่มเหล้าหรือเสพสารเสพติดเพื่อช่วยลืมความเจ็บปวด นอกจากนี้ ควรสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับบุคคลรอบข้าง ตลอดจนเข้าร่วมกิจกรรมดีๆในชุมชนหรือสังคม ซึ่งเหล่านี้จะช่วยดูแลจิตใจและลดความเสี่ยงของการเกิดปัญหาสุขภาพจิตในระยะยาวต่อไปได้ แต่หากไม่สามารถจัดการอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้หรือมีอาการซึมเศร้ารุนแรง ควรรีบพบจิตแพทย์โดยทันทีเพื่อรับการดูแลรักษาที่ถูกต้องต่อไป ที่สำคัญ ญาติ และครอบครัวถือเป็นบุคคลที่จะช่วยสังเกต ดูแล เยียวยา และประคับประคองจิตใจผู้ที่ต้องประสบกับความสูญเสียให้ผ่านพ้นความทุกข์ที่เกิดขึ้นนี้ ไปได้ โดยการรับฟัง ให้การสนับสนุน ให้กำลังใจ และไม่ตอกย้ำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตลอดจนให้ความร่วมมือในการดูแลรักษา เช่นเดียวกับ สื่อมวลชน ที่สามารถมีส่วนร่วมในการเยียวยาจิตใจครอบครัวที่ต้องประสบกับความสูญเสียได้ โดย เลือกใช้คำถามในการสัมภาษณ์ที่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้ระบายความรู้สึก มากกว่า การใช้คำถามแบบปลายปิด หรือชี้นำ เช่น การถามว่า “โกรธหรือเกลียดคนที่ทำหรือไม่”เป็นต้น เพราะจะยิ่งเป็นการตอกย้ำซ้ำเติมความรู้สึกให้แย่ลงไปอีก