กรุงเทพฯ--24 ส.ค.--IR PLUS
XO โชว์ผลงานครึ่งแรกของปี 58 มีกำไรสุทธิ 50.59 ลบ. เพิ่มขึ้น 20.37% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ส่วนรายได้ปรับลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ 375.76 ลบ. เป็นผลจากกำไรอัตราแลกเปลี่ยนหนุน บวกกลยุทธ์ลดความเสี่ยง เปลี่ยนราคาขายจากสกุลเงินยูโรเป็นเงินบาท “จิตติพร จันทรัช” กรรมการผู้จัดการ เผย ลูกค้าหลักกลุ่มยุโรปรับผลกระทบปัญหาเศรษฐกิจ ส่งผลให้สกุลเงินยูโรอ่อนค่าลง แต่ไม่กระทบปริมาณการขาย เนื่องจากมีออเดอร์เข้ามาสนับสนุน อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ พยายามรักษาภาพรวมรายได้และกำไรสุทธิในปีนี้ ใกล้เคียงกับปี 2557 ซึ่งเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจของยูโรโซนที่ชะลอตัว
นายจิตติพร จันทรัช กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็กโซติค ฟู้ด จำกัด (มหาชน) หรือ XO ผู้ส่งออกรายใหญ่ในผลิตภัณฑ์ซอสปรุงรสและน้ำจิ้มต่างๆ, ผลิตภัณฑ์เครื่องแกงเครื่องประกอบอาหาร, ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม, ผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปพร้อมรับประทาน และผลิตภัณฑ์อาหารกึ่งสำเร็จรูปและสำเร็จรูปอื่นๆ เปิดเผยว่า ผลประกอบการงวด 6 เดือนแรกของปี 2558 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 50.59 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.37% จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 42.03 ล้านบาท โดยสาเหตุหลักมาจากบริษัทฯ มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 11.04 ล้านบาท ในขณะที่ในงวด 6 เดือนแรกของปี 2557 บริษัทฯ มีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 15.56 ล้านบาท
ส่วนรายได้จากการขายในงวดครึ่งปีแรกของปี 2558 อยู่ที่ 375.76 ล้านบาท ลดลง 1.49% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ 381.46 ล้านบาท ซึ่งรายได้จากการขายที่ปรับลดลงเป็นผลจากการอ่อนค้าของสกุลเงินยูโร แม้ว่าบริษัทฯ จะขายสินค้าได้ในปริมาณที่เพิ่มขึ้น 6.64% โดยบริษัทฯ มีปริมาณขายสินค้าในสกุลเงินยูโรคิดเป็น 43.76% ของปริมาณการขายในงวด 6 เดือนแรกของปีนี้ ทั้งนี้ บริษัทฯ มีรายได้รวมในงวดครึ่งปีแรกของปี 2558 อยู่ที่ 388.70 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 1.69%
สำหรับ ผลประกอบการงวดไตรมาส 2/2558 (สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2558) บริษัทฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 28.36 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.25% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 28.01 ล้านบาท โดยสาเหตุหลักมาจากบริษัทฯ มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 4.72 ล้านบาท ในขณะที่ไตรมาส 2/2557 บริษัทฯ มีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 7.01 ล้านบาท และเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 1/2558 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 6.13 ล้านบาท คิดเป็น 27.58% เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขายสินค้าและอัตรากำไรขั้นต้น
โดยรายได้จากการขายสินค้าในงวดไตรมาส 2/2558 อยู่ที่ 201.44 ล้านบาท ลดลง 0.42% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ 202.29 ล้านบาท ซึ่งรายได้จากการขายที่ปรับลดลงเป็นผลจากการอ่อนค่าของสกุลเงินยูโร แม้ว่าบริษัทฯ จะขายสินค้าได้ในปริมาณที่เพิ่มขึ้น 8.78% โดยบริษัทฯ มีปริมาณขายสินค้าในสกุลเงินยูโรคิดเป็น 24.76% ของปริมาณการขายในงวดไตรมาส 2 ของปีนี้
“ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา กลุ่มลูกค้าหลักในยุโรป ได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจ สกุลเงินยูโรอ่อนค่าลง ส่งผลกระทบต่อภาพรวมรายได้จากการขายปรับลดลงเล็กน้อย ในขณะที่ ปริมาณการขายสินค้าสามารถทำได้เพิ่มขึ้น เป็นผลจากปริมาณออเดอร์ของกลุ่มลูกค้าหลักในยุโรปยังคงมีเข้ามาอย่างต่อเนื่องแม้จะลดปริมาณลงไปบ้าง แต่ส่วนหนึ่งเราได้ออเดอร์จากลูกค้ากลุ่มใหม่เข้ามาสนับสนุนแทน อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงพยายามรักษาอัตราการเติบโตไห้อยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยผลงานงวดครึ่งปีแรกที่ผ่านมา บริษัทฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 50.59 ล้านบาท เพิ่มขึ้น20.37% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเหตุผลหลักมาจากกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน และการปรับกลยุทธ์ลดความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ด้วยการเปลี่ยนราคาขายจากสกุลเงินยูโรเป็นเงินบาทและเงินดอลลาร์สหรัฐ หรือปรับราคาสินค้าในสกุลเงินยูโร ซึ่งลูกค้าได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี และคาดว่าผลงานทั้งปี 2558 บริษัทฯ จะมีรายได้และกำไรสุทธิใกล้เคียงกับปี 2557 ที่มีรายได้จากการขายอยู่ ที่ 734.95 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 86.20 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจของยูโรโซนที่ชะลอตัว และกำลังการผลิตสินค้าของบริษัทฯ ที่ค่อนข้างเต็มแล้ว” นายจิตติพร กล่าว
นายจิตติพร กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ในปี 2557 ที่ผ่านมา บริษัทฯ มียอดขายเป็นสกุลเงินยูโรเป็นหลักสูงถึง 72% และจากการเจรจากับลูกค้ากลุ่มหลักในยุโรป เพื่อลดความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ในไตรมาส 2/2558 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายในสกุลเงินยูโรเหลือเพียง 23.55 %ยอดขายเป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ 27.42% และยอดขายเป็นเงินบาท 49.03 %นอกจากนี้ บริษัทฯ ก็มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้าไว้อยู่แล้ว
แม้สถานการณ์ผันผวนของเศรษฐกิจในยูโรโซน ส่งผลกระทบต่อกลุ่มลูกค้าหลัก ซึ่งบริษัทฯ ยังหาลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อการเติบโตที่แข็งแกร่งในอนาคต อีกทั้ง ในปัจจุบันบริษัทฯ สามารถเดินหน้ากำลังการผลิตสินค้าได้เต็มกำลังการผลิต และเชื่อว่า หลังจากโรงงานใหม่ที่นิคมอมตะซิตี้ จ.ระยอง แล้วเสร็จ ซึ่งคาดว่า จะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงไตรมาส 2/2559 จะสนับสนุนให้บริษัทฯ มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว หรือประมาณ 1.4 หมื่นตัน ต่อ 1 กะ สนับสนุนให้สามารถรองรับความต้องการซื้อได้เพิ่มขึ้น มีต้นทุนลดลง และเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง