กรุงเทพฯ--25 ส.ค.--มีเดีย แพลนเนอร์ คอนซัลแทนท์
บมจ. เอ็ม.ซี.เอส สตีล (MCS) แจงเหตุไฟไหม้โรงงานเหล็ก นิปปอน สตีล ญี่ปุ่น ไม่กระทบการจัดหาวัตถุดิบเหล็ก เพราะมีการนำเข้าจากบริษัทดังกล่าวไม่เกิน 1% ของปริมาณการน้ำเข้าเหล็กของบริษัท และสถานที่เกิดเหตุเป็นเพียงโกดังเก่าที่อยู่ระหว่างการรื้อถอน
ด้าน“ดร.ไนยวน ชิ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร การันตีว่าบริษัทยังคงเดินหน้าทำงานอย่างเต็มที่ พร้อมส่งสัญญาณผลงานไตรมาส 3/58 ผลกระกอบการน่าจะดีกว่าทึ่บริษัทฯ คาดการณ์ไว้ เนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทที่อ่อนค่ามาอยู่ที่ระดับ 29.50 บาท/100 เยนในวันนี้ เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/58 อยู่ที่ 27 บาท/ 100 เยน ซึ่งถือว่ามีการปรับตัวดีขึ้นเกือบ 10%ในระยะเวลาอันสั้นเนื่องจากรายได้หลักของบริษัทฯส่วนใหญ่เป็นสกุลเงินเยน และยังมีการทยอยรับรู้รายได้งานต่อเนื่อง จากงานในมือที่มีอยู่ถึง 2 แสนกว่าตัน และเตรียมประมูลงานใหม่อีกเพียบ หนุนผลงานทั้งปีโตตามเป้า 10,000 ล้านเยน
นายไนยวน ชิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็ม.ซี.เอส สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ MCS ผู้ผลิตและจำหน่ายโครงสร้างเหล็กชั้นนำในประเทศไทย เปิดเผยว่า จากกรณีเกี่ยวกับเหตุเพลิงไหม้โกดังของ นิปปอน สตีล ที่เมือง คาวาซากิ ประเทศญี่ปุ่นนั้น ไม่ส่งผลกระทบต่อการจัดหาวัตถุดิบเหล็กของบริษัทแต่อย่างใด เพราะบริษัทมีการจัดซื้อหาวัตถุดิบเหล็กจากนิปปอน สตีลเพียงส่วนน้อยมาก และโกดังดังกล่าวเป็นโกดังเก่าที่ไม่มีการใช้งานแล้ว
ทั้งนี้การจัดซื้อวัตถุดิบเหล็กของบริษัทฯในช่วงที่ผ่านมา มีการสั่งซื้อจากผู้ประกอบการเหล็กในประเทศญี่ปุ่น หลักๆ คือ JFE Steel Corporation เกือบ 70% ส่วนที่เหลือซื้อจาก POSCO (ประเทศเกาหลี) หรือจากผู้ประกอบการเหล็กในประเทศจีนซึ่งขึ้นอยู่กับราคาแต่ละช่วงเวลาว่าที่ไหนได้ราคาดีที่สุด โดยในส่วน นิปปอน สตีล บริษัทมีการจัดซื้อหาวัตถุดิบเหล็กไม่เกิน 1% ของปริมาณน้ำหนักเหล็กในการนำเข้าแต่ละปี
“บริษัทยืนยันว่าเหตุการณ์ไฟไหม้โกดัง “นิปปอน สตีล” ในครั้งนี้ไม่กระทบต่อการดำเนินธุรกิจ และการจัดหาวัตถุดิบเหล็ก เพื่อนำมาผลิตเหล็กของบริษัทอย่างแน่นอน และปัจจุบันทางผู้บริหารของบริษัทยังคงเดินหน้าเจราธุรกิจกับพันธมิตรต่างประเทศต่อเนื่อง และคาดว่าจะมีข่าวดีให้กับบริษัทอย่างต่อเนื่อง” ดร.ชิ กล่าว
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอ็ม.ซี.เอส สตีล (MCS) กล่าวอีกว่า ปัจจุบันบริษัทฯยังมีการผลิตต่อเนื่อง โดยโรงงานที่อยุธยามีกำลังผลิตประมาณ 70,000 ตันต่อปี และในปีนี้คาดว่าจะใช้กำลังการผลิตโดยรวมประมาณ 40,000-45,000 ตัน ซึ่งบริษัทฯ จะต้องสำรองไว้ในส่วนของการแก้ไขหรือปรับเปลี่ยนงานตามความต้องการของลูกค้า
ปัจจุบันบริษัทฯมีงานในมือแล้ว 200,000 กว่าตัน ซึ่งงานดังกล่าวจะทยอยรับรู้ต่อเนื่องไปจนถึงปี 2562 และคาดว่าจะ มีงานใหม่ๆเข้ามาต่อเนื่อง ซึ่งงานในมือที่รับมานี้ไม่รวมโครงการขนาดใหญ่ของบริษัทในญี่ปุ่น อาทิ งาน Olympic ในปี 2563
ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2558 มองว่า มีทิศทางที่ดีขึ้น จากการทยอยส่งมอบงานที่มีอยู่ในปัจจุบัน และยังได้ประโยชน์จากอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2558 โดยค่าเงินเยนเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 27 บาทต่อ 100 เยน และล่าสุด ณ วันนี้ (25 ส.ค.58) อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ระดับ 29.50 บาท ต่อ 100 เยน
ดังนั้นจึงอยากให้นักลงทุนมันใจว่าผลการดำเนินงานของบริษัทยังสามารถเติบโตได้ตามแผนที่วางไว้ตั้งแต่ต้นปีอย่างแน่นอน โดยคาดว่าจะมีรายได้แตะระดับที่ 10,000 ล้านเยน จากมูลค่างานในมือที่มีอยู่ 2 แสนกว่าตัน และยังมีแผนที่จะเข้าประมูลงานใหม่ๆ มูลค่าสูงเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะงานโครงการขนาดใหญ่ในประเทศญี่ปุ่น
โดยผลการดำเนินงานของบริษัทฯในครึ่งปีแรกของปีนี้ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี โดยมีรายได้รวม 1,768.83 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 384.08 % และกำไรสุทธิ 344.33 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,947.14 % เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน จากความต้องการใช้เหล็กโครงสร้างในตลาดญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น และสินค้าส่วนใหญ่มีมาร์จิ้นสูง เพราะเป็นงานที่มีการบวนการผลิตที่ซับซ้อน ทำให้ขายได้ราคาดี