กรุงเทพฯ--25 ส.ค.--Worklink Da Agency
PPS ยืดอกรับปรับลดเป้าผลงานปี 58 ลุ้นครึ่งปีหลังรัฐเร่งเปิดประมูลโครงการเมกะโปรเจกต์ ฟื้นภาคก่อสร้างและภาคเศรษฐกิจ เล็งบิดงานภาครัฐ 2 โครงการไตรมาส 4 ปีนี้ เดินหน้าเข้าเสนองานภาคเอกชนทั้งธุรกิจอสังหาฯและค้าปลีก
นายธัช ธงภักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โปรเจค แพลนนิ่ง เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (PPS) เปิดเผยว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมวิศวกรก่อสร้างได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของโครงการลงทุนเมกะโปรเจ็กต์ของภาครัฐ พร้อมทั้งคาดว่าสถานการณ์ดังกล่าวน่าจะยังทรงตัวต่อไปจนถึงสิ้นปี 2558 แต่ยังคงเชื่อมั่นว่าในช่วงครึ่งหลังปี 2558รัฐบาลน่าจะเร่งผลักดันโครงการเมกะโปรเจ็กต์ออกมา ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้ธุรกิจก่อสร้างและภาคเศรษฐกิจให้กลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้ง โดยบริษัทมีแผนที่จะเพิ่มงานจากภาครัฐที่คาดว่าจะเตรียมเปิดให้เข้าประมูลงานวิศวกรที่ปรึกษาบริหารโครงการภายในไตรมาส 4/2558
ทั้งนี้ บริษัทยังคงเดินหน้าเข้าเสนองาน จากกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ในส่วนของภาคเอกชนที่ยังมีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มค้าปลีกทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งคาดว่าสามารถสรุปได้ภายในปีนี้ สำหรับการเข้าประมูลงานในต่างประเทศ ทั้งงานวิศวกรที่ปรึกษาโครงการ และงานออกแบบของ PPS Designบริษัทยังคงยื่นเสนองานในหลายโครงการ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศ AEC แต่ขณะนี้อยู่ระหว่างการรอผลสรุปที่ชัดเจน ทั้งนี้หากการนำเสนองานเป็นผลสำเร็จจะส่งผลให้บริษัทมีงานในมือ (Backlog) เพิ่มขึ้น จากปัจจุบันที่มีอยู่250 ล้านบาท
“ตอนนี้เรากำลังจะได้งานออกแบบในประเทศกัมพูชามูลค่า 6 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าหลังเสร็จสิ้นขั้นตอนการออกแบบ PPS อาจจะได้ดูแลงานวิศวกรที่ปรึกษาต่อ และกำลังเจรจางานวิศวกรที่ปรึกษา 1 โครงการ ที่ประเทศมาเลเซีย ซึ่งก็จะช่วยเสริมรายได้ให้กับบริษัทอีกทางหนึ่ง” นายธัชกล่าว
ส่วนผลประกอบการในปี 2558 บริษัทยอมรับว่ารายได้มีโอกาสต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ 10% คาดว่ายอดขายน่าจะลดลงจากปี 2557 ประมาณ 20% เนื่องจากธุรกิจงานก่อสร้างครึ่งปีแรกของปี 2558 ที่ผ่านมา ทั้งงานในส่วนของภาครัฐและเอกชนอยู่ในภาวะชะลอตัว และในปัจจุบันยังไม่มีปัจจัยบวกเข้ามากระตุ้นให้เกิดการลงทุน ขณะที่โครงการต่างๆของภาครัฐยังมีความล่าช้าในการเริ่มดำเนินโครงการ
ดังนั้น จึงส่งผลให้ผลประกอบการงวด 6 เดือน ปี 2558 บริษัทมีรายได้รวมจำนวน 123.18 ล้านบาท ปรับตัวลดลง 17.15 ล้านบาท หรือลดลง 12.22% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวมจำนวน 140.33 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิจำนวน 4.10 ล้านบาท ปรับตัวลดลง 9.21 ล้านบาท หรือ 69.20% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิจำนวน 13.31 ล้านบาท ทั้งนี้การลดลงของรายได้และกำไรดังกล่าว เนื่องจากสภาวะการชะลอตัวของโครงการก่อสร้างภาคเอกชน และโครงการภาครัฐที่ยังอยู่ในขั้นตอนการคัดเลือกที่ปรึกษาโครงการ
นายธัชกล่าวเสริมว่าสัดส่วนงานของภาครัฐบาลอยู่ 15% และภาคเอกชนอยู่ที่ 85% ซึ่งหลังจากนี้หลังมีการปรับเปลี่ยนคณะรัฐมนตรีของรัฐบาล ก็คาดว่าโอกาสที่จะได้รับงานจากภาครัฐบาลจะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น