กรุงเทพ--6 ก.ค.--เนสท์เล่
"การปฏิบัติให้ถูกต้องตั้งแต่เริ่มต้น" เป็นปรัชญาสำคัญที่ใช้ได้กับอุตสาหกรรมทุกประเภท รวมทั้งอุตสาหกรรมอาหาร เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภค และเป็นการสร้างสำนึกความ รับผิดชอบต่อสังคมที่ผู้ประกอบการพึงมี ปรัชญาดังกล่าวสอดคล้องเป็นอย่างดีกับการดำเนินธุรกิจของกลุ่มเนสท์เล่ ประเทศไทย ผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มคุณภาพระดับโลก ซึ่งก่อตั้งในประเทศไทยมานานกว่าศตวรรษ
เนสท์เล่ มีความมุ่งมั่นที่จะคงความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมอาหาร ด้วยการพัฒนากระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์อาหาร เพื่อคุณค่าทางโภชนาการสำหรับชนทุกวัย และเป็นอาหารที่เปี่ยม คุณภาพและมีความปลอดภัยสูงมาอย่างต่อเนื่อง จนเป็นที่ไว้วางใจของผู้บริโภคเรื่อยมา และเพื่อให้สอดรับกับนโยบายของภาครัฐในการพัฒนาคุณภาพของกระบวนการผลิตอาหารเพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภคมากขึ้น โรงงานผลิตอาหารของกลุ่มเนสท์เล่ ประเทศไทย จึงได้เข้าร่วมโครงการรับรองระบบการวิเคราะห์อันตรายและจุดวิกฤตที่ต้องควบคุมในการผลิตอาหาร หรือ Hazard Analysis and Critical Control Point (HACCP) System ซึ่งเป็นโครงการที่ประเทศไทยเริ่มนำมาใช้ปฏิบัติตั้งแต่ปี 2541 โดยมีสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวง สาธารณสุข เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านการส่งเสริมและผลักดันโครงการให้เป็นรูปธรรมที่ชัดเจน
HACCP เป็นระบบการประกันคุณภาพด้านความปลอดภัยของอาหาร ที่เพิ่มประสิทธิภาพ ในการควบคุมดูแลทุกขั้นตอนของกระบวนการผลิต โดยเน้นการวิเคราะห์อันตรายที่อาจมี ผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของผู้บริโภค ซึ่งขณะนี้ทั่วโลกต่างให้ความสำคัญกับระบบดังกล่าว โดยใช้หลักเกณฑ์ตามโครงการมาตรฐานระหว่างประเทศ (Codex) ซึ่งกำหนดให้ HACCP เป็นมาตรฐานที่ถือปฏิบัติสำหรับอุตสาหกรรมอาหาร
จากการควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์อาหารอย่างเข้มงวด ทำให้โรงงานผลิตอาหารจำนวน 4 แห่งของเนสท์เล่ ได้รับการรับรองระบบ HACCP จาก สมอ. และ อย. ในปี 2542 โรงงานเหล่านี้ได้แก่ 1) บริษัท เนสท์เล่ ฟู้ดส์ (ประเทศไทย) จำกัด เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมนวนคร โครงการ 1 จ.ปทุมธานี ได้รับการรับรองระบบสำหรับผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มรสช็อกโกแลตชนิดผงและ เครื่องดื่มรสช็อกโกแลตปรุงสำเร็จชนิดผง (ตราไมโล) ผลิตภัณฑ์ลูกอม "โปโล" และ "แอลเลนส์ ฟ็อกซ์" และผลิตภัณฑ์ช็อกโกแลต ซึ่งได้แก่ "เนสท์เล่คลาสสิค", "เนสท์เล่ครันช์", "สมาร์ทตีส์", "ขนมหวานรสช็อกโกแลต (ตราไมโลและดิสนีย์)", "ช็อกโกแลตเคลือบไอศกรีม", และ "คูเวอร์เจอร์ช็อกโกแลต" 2) บริษัท เนสท์เล่ ฟู้ดส์ (ประเทศไทย) จำกัด เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมนวนคร โครงการ 2 จ.ปทุมธานี ได้รับการรับรองระบบสำหรับผลิตภัณฑ์นมผงปรุงแต่งรสน้ำผึ้ง 3) บริษัท เนสท์เล่ แมนนิวแฟ็คเชอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด จ.สมุทรปราการ ได้รับการรับรอง ระบบสำหรับผลิตภัณฑ์ครีมเทียม "คอฟฟีเมต" และ "ครีมาท็อป" 4) บริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่โปรดักส์ จำกัด จ.ฉะเชิงเทรา ได้รับการรับรองระบบสำหรับผลิตภัณฑ์กาแฟสำเร็จรูป "เนสกาแฟ" นอกจากนี้ ในปี 2541 ที่ผ่านมา บริษัท เนสท์เล่ ไอศกรีม (ประเทศไทย) จำกัด กรุงเทพฯ ยังได้รับการรับรองระบบดังกล่าวสำหรับผลิตภัณฑ์ไอศกรีม "จัมโบ้" "เบบี้" และ "ไทยไทม์" อีกด้วย โดยผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองระบบ HACCP จะมีระยะเวลาของการรับรองนาน 3 ปี
มร. เอ็ดมอนด์ อาร์. เบอร์โจ รองประธานผู้บริหาร ฝ่ายการผลิตของเนสท์เล่ ประเทศไทย กล่าวว่า "ในฐานะที่เนสท์เล่ เป็นบริษัทผลิตและจำหน่ายอาหารอันดับหนึ่งของโลก เราตระหนักดีถึงความสำคัญของการพัฒนาและควบคุมอย่างเข้มงวดในทุกขั้นตอนของระบบการผลิตใน โรงงานทุกแห่งของเนสท์เล่ เพื่อให้ระบบการจัดการด้านความปลอดภัยของอาหารเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด การที่ผลิตภัณฑ์หลายรายการของโรงงานเนสท์เล่ได้รับการรับรองระบบ HACCP ไปเมื่อเร็วนี้ นับเป็นการตอกย้ำภาพลักษณ์ของการเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมอาหารที่มีคุณภาพสูง นอกจากนี้ การเข้าร่วมโครงการรับรองระบบ HACCP ดังกล่าว ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านการผลิตที่อาจเกิดขึ้นจากสภาพการทำงานที่ไม่มีการควบคุมให้ถูกต้องอีกด้วย"
"เนสท์เล่ มีแผนการที่จะขอรับรอง HACCP สำหรับผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ทุกรายการภายใน อีกไม่กี่ปี ซึ่งขณะนี้มีผลิตภัณฑ์หลายรายการที่กำลังอยู่ในระหว่างดำเนินการขอรับรองระบบ ดังกล่าวจากสมอ. และ อย." มร. เบอร์โจ กล่าวเสริม
ความมุ่งมั่นในการปฏิบัติเพื่อขอรับรองระบบ HACCP ของกลุ่มเนสท์เล่ ประเทศไทย นับเป็นบริษัทกลุ่มแรกๆ ที่เข้าร่วมโครงการฯ ซึ่งเป็นตัวอย่างของการให้ความร่วมมือกับภาครัฐและความรับผิดชอบในด้านการผลิตอาหารที่ปลอดภัยและมีคุณค่าทางโภชนาการ นอกเหนือจากความทุ่มเทด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ซึ่งเนสท์เล่ได้ถือปฏิบัติตลอดมาอย่างสม่ำเสมอจนได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคทุกกลุ่มมานานนับร้อยปี