กรุงเทพฯ--2 ก.ย.--เดอะเวย์ คอมมิวนิเคชั่น
'พีทีจี เอ็นเนอยี' คาดผลประกอบการครึ่งปีหลังของปีนี้เติบโตต่อเนื่อง หลังรัฐบาลอัดฉีดเงินเข้าระบบผู้มีรายได้น้อย เชื่อกระตุ้นยอดขายโตตามเป้าที่ 20% ยันราคาน้ำมันดิ่งไม่กระทบ เหตุหมุนสต็อกเร็ว
นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เปิดเผยว่า บริษัทฯคาดว่าผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง หลังจากรัฐบาลดำเนินการปรับคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ซึ่งมีนโยบายหลักในการอัดฉีดเงินเข้าระบบสำหรับเกษตรกร และผู้มีรายได้น้อยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้เชื่อว่าจะส่งผลดีให้กับทุกอุตสาหกรรม รวมถึงปริมาณการใช้น้ำมันในภาคการเกษตร และการขนส่งจะปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งบริษัทฯมีการขยายสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศอย่างต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 200 สถานีต่อปี สามารถให้บริการลูกค้าทั้งในเขตชุมชน และเขตเมืองได้อย่างทั่วถึง
นายพิทักษ์ กล่าวต่อว่า ในขณะที่สถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องจะไม่ส่งผลกระทบต่อบริษัทฯ โดยรายได้จากการขายปลีกน้ำมันยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้น ถึงแม้ว่าราคาน้ำมันจะปรับตัวลดลงกว่า 18% เมื่อเทียบกับปีก่อน หลังการขยายสถานีบริการน้ำมันให้ครอบคลุมมากขึ้น และการเติบโตของปริมาณการจำหน่ายน้ำมันในสถานีบริการเดิม ทำให้ปริมาณการจำหน่ายโดยรวม และส่วนแบ่งในตลาดยังคงสามารถขยายตัวเพิ่มขึ้น รวมถึงบริษัทฯมีการบริหารจัดการสต็อกน้ำมันอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถระบาย และหมุนเวียนสต็อกน้ำมันด้วยเวลาเพียง 3-4 วันเท่านั้น อีกทั้งยังมีแผนการลดปริมาณสำรองน้ำมันจาก 6% เป็น 1% ในเดือนพ.ย.ปีนี้ ทำให้ไม่มีความเสี่ยงจากการขาดทุนสต็อกน้ำมัน
'เราเห็นด้วย และเราคาดหวังให้รัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจแบบยั่งยืนควบคู่กัน เพื่อมาช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในประเทศ ซึ่งจะส่งผลดีให้กับทุกอุตสาหกรรม รวมถึงการใช้น้ำมันในภาคการเกษตร และการขนส่ง และด้วยการที่เราขยายสถานีบริการมากกว่า 200 สถานีทุกปี ทั่วประเทศ ทำให้เราสามารถให้บริการลูกค้าทั้งในเขตชุมชน และเขตเมืองได้อย่างทั่วถึง ส่วนราคาน้ำมันที่ลดลงไม่ได้ส่งผลกระทบเพราะน้ำมันของเรามีอัตราหมุนเวียนค่อนข้างเร็ว และมีสต็อกน้ำมันไม่เยอะ ทำให้เพิ่มความยืดหยุ่นในการบริหารเงินมากยิ่งขึ้น' นายพิทักษ์กล่าว
ทั้งนี้ผลประกอบการของบริษัทฯ ประจำไตรมาสที่ 2 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2558 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่169 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 24.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่136 ล้านบาท และมีรายได้รวม 14,204 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 315 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 2.3.% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 13,889 ล้านบาท โดยบริษัทฯยังคงเป้าหมายการขยายสถานีบริการที่ 1,200 สถานี ภายในสิ้นปีนี้ และจำนวนสถานีบริการ LPG ที่ 30 สถานี รวมถึงยังคงเป้าหมายเพิ่มจำนวนสมาชิกบัตร PT Max Card ที่ 3.6 ล้านสมาชิก