กรุงเทพฯ--3 ก.ย.--บลจ.กสิกรไทย
นายนาวิน อินทรสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า แนวโน้มของประชากรผู้สูงอายุทั่วโลกมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยองค์การอนามัยโลกคาดการณ์ว่า ในปี 2050 จำนวนประชากรที่มีอายุมากกว่า 60 ปี จะเพิ่มขึ้นเป็น 2,000 ล้านคน หรือคิดเป็น 23% ของประชากรโลก ขณะที่ปัจจุบันประชากรผู้สูงอายุทั่วโลกมีอยู่ราว 900 ล้านคน หรือประมาณ 11% ของประชากรทั่วโลก ทั้งนี้ยังพบว่า จำนวนผู้สูงอายุในทวีปยุโรปมีสัดส่วนสูงที่สุดในโลก เมื่อเทียบกับในภูมิภาคอื่นๆ นอกจากนี้ในแง่ของกำลังซื้อ ประชากรกลุ่มนี้ยังมีฐานะการเงินค่อนข้างดี โดยคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) ระบุว่ากลุ่มคนที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปในยุโรป มีอำนาจจับจ่ายใช้สอยสูงถึง 3 ล้านล้านยูโร
บลจ.กสิกรไทยจึงเตรียมที่จะออกกองทุนต่างประเทศใหม่ในช่วงปลายเดือนกันยายนนี้ โดยจะลงทุนผ่านกองทุนหลักต่างประเทศ ได้แก่ กองทุน CPR Silver Age ซึ่งบริหารจัดการโดย CPR Asset Management บริษัทจัดการลงทุนในประเทศฝรั่งเศส และเป็นบริษัทในเครือของ Amundi บริษัทจัดการลงทุนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในยุโรป ทั้งนี้กองทุนหลักดังกล่าวจะเน้นลงทุนในหุ้นยุโรปโดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากกลุ่มประชากรผู้สูงอายุที่จะมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้น อาทิ กลุ่มการเงินและประกัน กลุ่มเภสัชกรรม กลุ่มเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ กลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรม กลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแสสุขภาพ กลุ่มธุรกิจสถานดูแลคนชรา กลุ่มธุรกิจด้านความปลอดภัย และกลุ่มธุรกิจรถยนต์
นายนาวินกล่าวเพิ่มเติมว่า "กลุ่มประชากรผู้สูงอายุจำแนกออกเป็น 2 กลุ่มด้วยกัน กลุ่มแรกเรียกว่า "Young Pensioners" คือกลุ่มที่มีอายุ 65-80 ปี ซึ่งเพิ่งจะเกษียณอายุ จึงมีทรัพย์สินและกำลังซื้อค่อนข้างมาก และมักใช้เวลาส่วนใหญ่กับการท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ อยากทำตัวเองให้ดูอ่อนเยาว์และแข็งแรง รวมถึงยังมีความความจำเป็นในเรื่องการวางแผนทางการเงิน ดังนั้นคนกลุ่มนี้จะเน้นการใช้จ่ายในเรื่องการท่องเที่ยว สันทนาการ รถยนต์ กีฬา การดูแลผิวพรรณ รวมถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงินและประกัน เป็นต้น กลุ่มที่สองเรียกว่า "The Elderly" คือกลุ่มที่มีอายุ 80 ปีขึ้นไป ซึ่งกลุ่มนี้สุขภาพค่อนข้างอ่อนแอและจำเป็นต้องพึ่งพาผู้อื่น ดังนั้นจึงมักใช้จ่ายเกี่ยวข้องกับการใช้บริการด้านความปลอดภัยและสถานดูแลผู้สูงอายุ อย่างไรก็ดีทั้งสองกลุ่มที่กล่าวมา ยังคงจำเป็นต้องมีการใช้จ่ายด้านสุขภาพด้วย เช่น ยารักษาโรค โรงพยาบาล อุปกรณ์ทางการแพทย์ เป็นต้น"
นายนาวินกล่าวต่อไปว่า จากข้อมูลสถิติและปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวมา บลจ.กสิกรไทยจึงมองเห็นศักยภาพในการเติบโตของหุ้นในกลุ่มที่จะได้รับประโยชน์จากประชากรผู้สูงอายุดังกล่าว และมองเห็นโอกาสในการเข้าไปลงทุนเบื้องต้นในหุ้นของยุโรปเป็นภูมิภาคแรก เนื่องจากปัจจุบันยุโรปมีสัดส่วนประชากรผู้สูงอายุมากที่สุดในโลก และมีกำลังซื้อที่ค่อนข้างสูง นอกจากนี้ประชากรผู้สูงอายุในยุโรปส่วนใหญ่มักเลือกใช้สินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่เป็นแบรนด์ยุโรปด้วยกัน โดยถือว่ามีความยึดมั่นต่อแบรนด์ (Brand Loyalty) ยุโรปค่อนข้างเหนียวแน่น ดังนั้นจึงได้รับประโยชน์ในแง่รายได้ที่เข้ามาสู่กลุ่มประเทศยุโรป อย่างไรก็ตาม บริษัทจดทะเบียนในยุโรปยังมีรายได้กว่า 40% ที่มาจากภายนอกภูมิภาคด้วย จึงยังได้รับประโยชน์จากแนวโน้มของผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกอีกด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ดี ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้มีการเปิดเสนอขายกองทุนเปิดเค โกลบอล เฮลท์แคร์ หุ้นทุน (K-GHEALTH) ที่เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มสุขภาพทั่วโลก ซึ่งปัจจุบันได้รับความนิยมจากผู้ลงทุนอย่างต่อเนื่อง และเป็นกองทุนหุ้นกลุ่มสุขภาพที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ด้วยขนาดมูลค่าสินทรัพย์ 21,864 ล้านบาท (ณ วันที่ 31 ส.ค. 2558) โดยกองทุนดังกล่าวจะเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มสุขภาพในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก ผ่านกองทุนหลัก คือ JP Morgan Funds – Global Healthcare Fund, Class A (acc) ซึ่งบริหารจัดการโดย J.P.Morgan Asset Management หนึ่งในผู้จัดการกองทุนชั้นนำระดับโลก ทั้งนี้การเตรียมออกเสนอขายกองทุนต่างประเทศใหม่นี้ นับเป็นการเติมเต็มผลิตภัณฑ์กองทุนของบลจ.กสิกรไทยให้มีความหลายหลาย ตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้ลงทุน และเพื่อเป็นการต่อยอดและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา
สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนกับกองทุน K-GHEALTH สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและขอรับหนังสือชี้ชวนเสนอขายได้ที่ธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา หรือสอบถาม KAsset Contact Center 0 2673 3888 หรือที่www.kasikornasset.com