MBA จุฬาฯ พิสูจน์ศักยภาพหลักสูตร ส่งนิสิตคว้ารางวัล ‘2015 SCB Future Leader Challenge’

ข่าวทั่วไป Thursday September 3, 2015 16:35 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--3 ก.ย.--แม็กซิม่า คอนซัลแตนท์ สภาวะทางเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน ทำให้การแข่งขันของธุรกิจไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะภายในประเทศ หากแต่ผู้ประกอบการยังต้องเผชิญกับคู่แข่งขันที่มาจากต่างแดน หรือแม้กระทั่งต้องพยายามผลักดันตนเองให้ก้าวขึ้นไปแข่งขันบนเวทีโลก เหตุนี้ไม่ว่าผู้บริหาร หรือคนทำงานก็ต้องก้าวตามทันเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่อย่างตลอดเวลา ซึ่งต้องอาศัยองค์ความรู้ และทักษะการบริหารจัดการรอบด้าน คณะพาณิชยศาสตร์ และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรือ Chulalongkorn Business School เล็งเห็นถึงความสำคัญนี้ จึงริเริ่มจัดทำหลักสูตร MBA ตั้งแต่ปี 2525 โดยมีเป้าหมายในการผลิตผู้บริหารระดับคุณภาพป้อนสู่ภาคธุรกิจอันเป็น พันธกิจนับแต่เริ่มแรกของการก่อตั้ง โดยมีการพัฒนาหลักสูตรอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคธุรกิจในแต่ละยุคสมัย ผศ. ดร.สิริอร เศรษฐมานิต ประธานคณะกรรมการบริหารหลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่าหนึ่งในกิจกรรมที่หลักสูตร MBA ใช้ในการพัฒนามหาบัณฑิตให้มีความรู้ความสามารถที่นำไปใช้ประโยชน์ได้จริง คือ การผลักดันให้นิสิตได้มีโอกาสทดลองฝีมือในสนามจริง ดังเช่น การส่งเสริมนิสิตของหลักสูตรเข้าแข่งขัน SCB Future Leader Challenge (SCBFLC) ที่จัดร่วมกันโดยธนาคารไทยพาณิชย์ และสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย "ช่วง 3 ปีที่ผ่านมา การเรียนการสอนของ MBA จุฬาฯ จะเป็นไปในเชิงรุกมากขึ้น เปิดโอกาส สนับสนุน และผลักดันให้นิสิตเข้าประกวดแข่งขันในระดับนานาชาติ เพื่อทดสอบความรู้ความสามารถ และฝีกฝนภายใต้ แรงกดดัน การเข้าร่วมแข่งขันระดับนานาชาติรายการ SCB Future Leader Challenge นี้เป็นปีที่สอง โดยในปีที่แล้วเราได้รับรางวัลรองชนะเลิศ ส่วนปีนี้เข้าสู่รอบสุดท้าย 2 ทีม และสามารถคว้ารางวัลชนะเลิศ ซึ่งแสดงถึงศักยภาพของนิสิต และหลักสูตรที่มีประสิทธิภาพ" ผศ.ดร.สิริอร กล่าว ทั้งนี้ การแข่งขัน SCB Future Leader Challenge มีทีมจาก 15 ประเทศ 32 มหาวิทยาลัยทั่วโลกเข้าร่วมการแข่งขัน ในปีนี้ MBA ของคณะพาณิชยศาสตร์ และบัญชี จุฬาฯ ส่งเข้าร่วมทั้งหมด 4 ทีม โดย 3 ทีม เข้ารอบ 12 ทีมสุดท้ายไปพบกับคู่แข่งจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ อาทิ NUS, Peking, ศศินทร์, ธรรมศาสตร์, HEC Paris, CUHK, KAIST โดยในรอบ 4 ทีมสุดท้าย มีทีมจาก MBA จุฬาฯ เข้ารอบถึง 2 ทีม เพื่อ ไปประชันกับ ศศินทร์ และ KAIST ผลปรากฏว่าทีมจาก MBA จุฬาฯ คว้ารางวัลชนะเลิศ ผศ. ดร.สิริอร กล่าวว่าชัยชนะที่ได้มานี้เกิดจากความช่วยเหลือระหว่างรุ่นพี่สู่รุ่นน้อง ซึ่งสะท้อนถึงการมี คอนแนคชั่นที่แข็งแกร่งของ MBA จุฬาฯ โดยในปีแรกของการแข่งขัน อาจารย์ที่ปรึกษาจะทำหน้าที่โค้ชเปิดห้องติวให้แก่นิสิตที่เข้าแข่งขันรุ่นแรก สำหรับปีนี้ นอกจากมีอาจารย์ที่ปรึกษาแล้ว (อ.ดร. ธนากร ลิขิตาภิวัฒน์ และอ.ดร.คณิสร์ แสงโชติ) ยังมีรุ่นพี่ซึ่งนำประสบการณ์ตรงของตนมาถ่ายทอด ทำหน้าที่เป็นโค้ชให้แก่รุ่นน้องอีกด้วย หลักสูตรฯ วางแผนให้การถ่ายทอดจากรุ่นพี่สู่รุ่นน้องนี้ดำเนินต่อกันไปเป็นทอดๆ เพื่อตอกย้ำวัฒนธรรมการสร้างสายสัมพันธ์ที่จะต่อยอดเป็นสายสัมพันธ์ทางธุรกิจในอนาคตอีกด้วย ทางด้านพีรพล ตรงกมลมาศ หัวหน้าทีม Gazelle ที่ชนะเลิศการแข่งขันในปีนี้กล่าวว่า รู้สึกดีใจที่ตน และเพื่อน มีโอกาสได้เข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ ซึ่งทำให้ตนเห็นว่าความรู้ที่ได้รับจาก MBA จุฬาฯ มีประสิทธิภาพ ที่จะนำไปใช้ในการแก้ปัญหา หรือต่อยอดสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจได้จริง นอกจากนี้ยังมีโอกาสได้ฟังมุมมองความคิดเห็นของซีอีโอองค์กรใหญ่ๆ ที่เป็นเจ้าของเคสธุรกิจด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก ถ้าไม่ได้เข้ามาเป็นนิสิตของ MBAจุฬาฯ "เคสที่ทาง SCBFLC เอามาให้เราแก้โจทย์ เป็นเคสที่เกิดขึ้นจริงจากองค์กรชั้นนำของไทย บางองค์กรนำเอาปัญหามาให้เราช่วยคิดแก้ไขสถานการณ์ ขณะที่บางองค์กรมีแนวคิดจะต่อยอดธุรกิจ และให้เราช่วยคิดว่าแนวคิดนั้น จะเป็นแนวทางที่ใช่หรือไม่ โดยจะให้ข้อมูลที่สำคัญเบื้องต้นมาแล้วให้เราหาข้อมูลเพิ่มเติมในเวลาที่จำกัด ซึ่งเวลาจะสั้นลงเรื่อยๆ เมื่อเข้าใกล้รอบสุดท้าย ทำให้เราต้องใช้ไหวพริบ และทักษะความรู้ที่มีแก้ปัญหาเฉพาะหน้า" พีรพลบอกว่าแนวคิดที่ทีมของเขาเสนอเป็นที่ถูกใจต่อคณะกรรมการเป็นอย่างมาก โดยช่วงแรกๆ อาจได้รับ คอมเมนท์มากหน่อย แต่เขา และเพื่อนๆ ในทีมนำคอมเมนท์จากรอบแรกๆ ไปใช้ปรับวิธีคิดสำหรับการแก้โจทย์ ในรอบต่อๆ ไปจนสามารถคว้ารางวัลได้ในที่สุด ซึ่งเขาจะนำเอาประสบการณ์นี้ไปถ่ายทอดให้รุ่นน้องต่อไป สอดคล้องกับความคิดเห็นของ นพสิทธิ์ จิตจรัสอำไพ หัวหน้าทีม PRIMA ทีมรองชนะเลิศ มองว่า ประสบการณ์ ที่ได้รับจากการแข่งขันเป็นโอกาสที่หาได้ไม่ง่ายนัก โดยเขากับเพื่อนๆ ในทีมซึ่งเป็นเพื่อนที่เรียนร่วมกันมาตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาตรีตัดสินใจเข้าศึกษาต่อหลักสูตร MBA จุฬาฯด้วยเชื่อมั่นในประสิทธิภาพของหลักสูตร และต้องการได้คอนแนคชั่น และประสบการณ์ที่จะช่วยเสริมศักยภาพการทำงานในปัจจุบันของตน "พวกเราส่วนใหญ่จบมาทางด้านวิศวะ เมื่อมาเรียน MBA แล้วได้เจอกับเพื่อนที่จบมาต่างสาขา ทำให้เห็นมุมมองวิธีคิดที่ต่างออกไป การได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเพื่อนที่มีมุมมองต่างไปจากเรา ผมคิดว่า จะช่วยเติมเต็ม ให้ความคิดของเราเฉียบคมยิ่งขึ้น มีความรอบด้านมากขึ้น ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นมากสำหรับการทำงานในปัจจุบัน" นพสิทธิ์กล่าวแสดงความเห็นในตอนท้าย
แท็ก ขันที   นิสิต   จุฬา   SCB  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ