กรุงเทพฯ--4 ก.ย.--กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
วันนี้ (๒ ก.ย. ๕๘) เวลา ๐๘.๐๐ น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคง ของมนุษย์ เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ ๒๓๑/๕๗-๕๘ เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคมต่างๆที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการแก้ไขและป้องกันปัญหาดังกล่าว โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานในกระทรวงฯ เข้าร่วมประชุม
พลตำรวจเอก อดุลย์ กล่าวว่า โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) เป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบนโยบายดังกล่าวซึ่งโครงการนี้บรรจุในยุทธศาสตร์ ๕ ช่วงวัย สำหรับวัยเด็กที่เป็นวัยสำคัญเป็นอย่างมาก โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้เด็กแรกเกิดได้รับการเลี้ยงดูให้มีพัฒนาการที่ดี เป็นการจัดสวัสดิการพื้นฐานและสร้างระบบการคุ้มครองทางสังคมให้เด็กแรกเกิดได้รับการเลี้ยงดูอย่างมีคุณภาพ ส่งเสริมให้มีพัฒนาการสมวัย รวมทั้งเป็นการเข้าถึงบริการของรัฐและเป็นการประกันสิทธิด้านการอยู่รอด และการพัฒนาตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นเด็กแรกเกิดที่เกิดระหว่างวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๘ ถึง ๓๐ กันยายน ๒๕๕๙ บิดาและหรือมารดามีสัญชาติไทย ไม่เป็นผู้ได้รับสวัสดิการหรือสิทธิประโยชน์อื่นใด จากหน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ อยู่ในครัวเรือนยากจนและครัวเรือนที่เสี่ยงต่อความยากจน ทั้งนี้ ประชาชนสามารถลงทะเบียนรับสิทธิ์ได้ตั้งแต่วันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๘ - ๓๐ มีนาคม ๒๕๕๙ณ สำนักงานเขตใน กทม. เทศบาล เมืองพัทยา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ตามถิ่นที่อยู่) และขยายเวลาการลงทะเบียนรับสิทธิ์ ในระหว่างวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๙ – ๓๐ กันยายน ๒๕๕๙ ณ กรมกิจการเด็กและเยาวชน ในพื้นที่กทม. และสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด ในพื้นที่ต่างจังหวัดอีกทางหนึ่ง ทั้งนี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ได้เตรียมจัดงานแถลงข่าวโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด ในวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๘ เวลา ๐๙.๓๐ น. ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล โดยมีพลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เพื่อให้สื่อมวลชนนำรายละเอียดข้อมูลต่างๆของโครงการฯ ไปเผยแพร่ต่อประชาชนได้อย่างถูกต้องและครบถ้วนต่อไป
พลตำรวจเอก อดุลย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับกรณีนักเรียนชาย ชั้น ม.๖ อายุ ๑๘ ปี ที่ จ.เพชรบูรณ์ต้องทำงานรับจ้างทุกอย่างเพื่อหารายได้เลี้ยงดูพ่ออายุ ๖๔ ปี ที่พิการทางสายตาและป่วยเป็นโรคไตวาย นิ่วในไตแม่อายุ ๔๙ ปี ที่มีโรคประจำตัวหลายโรค และดูแลป้า ที่พิการเป็นใบ้ รวมทั้งน้า ที่ป่วยเป็นโรคไต ความดัน และเบาหวาน และกรณีหญิงชรา อายุ ๘๑ ปี ที่ อ.โพทะเล จ.พิจิตร ต้องรับภาระเลี้ยงดูครอบครัวที่ป่วยพิการ ๓ คนโดยสามี อายุ ๗๔ ปี ป่วยหลอดเลือดสมองตีบเป็นอัมพาต ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ และลูกอีก ๒ คน อายุ ๓๘ ปีและ ๔๓ ปี ที่พิการทางสมอง ซึ่งมีเพียงรายได้จากเบี้ยผู้สูงอายุและเบี้ยความพิการนั้น ตนได้กำชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเพชรบูรณ์ (พมจ.เพชรบูรณ์) และ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดพิจิตร (พมจ.พิจิตร) ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง และให้การช่วยเหลือในเบื้องต้น ตามภารกิจของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือด้านการรักษาพยาบาลอย่างใกล้ชิด