30 ปี เครือเบทาโกร เน้นธุรกิจส่งออกอาหารและขยายการลงทุนต่างประเทศ

ข่าวเทคโนโลยี Monday September 1, 1997 21:52 —ThaiPR.net

กรุงเทพ--1 ก.ย.--เครือเบทาโร
เครือเบทาโกรเผยนโยบายการดำเนินธุรกิจหลังครบรอบ 30 ปี มุ่งเน้นจับมือพันธมิตรที่แข็งแกร่งขยายการลงทุนในต่างประเทศและธุรกิจผลติภัณฑ์อาหารแปรรูป พร้อมบริหารงานด้วยเทคโนโลยีทันสมัยและเปิดโอกาสให้มืออาชีพบริหารงานมากขึ้น ส่วนผลการดำเนินงานครึ่งปี 2540 ต่ำกว่าเป้าหมายเล็กน้อย คาดครึ่งปีหลังส่งออกดีขึ้น
นายวนัส แต้ไพสิฐพงษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เครือเบทาโกร เปิดเผยถึงแนวทางการดำเนินธุรกิจในโอกาสครบรอบ 30 ปีเครือเบทาโกรว่า มีนโยบายให้ความสำคัญกับธุรกิจแปรรูปอาหารเพื่อการส่งออก พร้อมทั้งขยายการลงทุนไปยังต่างประเทศ และร่วมทุนบริษัทชั้นนำของต่างประเทศ มั่นใจเทคโนโลยีและประสบการณ์ที่สั่งสมมาตลอดระยะเวลา 30 ปีของเครือฯ สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ และขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาลู่ทางและโอกาสในการลงทุนในประเทศต่างๆ โดยเฉพาะในประเทศในภูมิภาคเอเซีย เช่น พม่า จีน และเวียดนาม โดยมีการเดินทางไปยังประเทศเหล่านั้น เพื่อศึกษาสภาพเศรษฐกิจ ความเป็นอยู่คู่แข่งขัน กฎหมาย และนโยบายส่งเสริมการลงทุน รวมทั้งได้เริ่มมีการเจรจากับคู่ค้าที่เราติดต่อเอง และคู่ค้าที่ผู้ร่วมทุนปัจจุบันแนะนำให้ เมื่อเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้น และมีโอกาสที่ดีก็จะดำเนินการร่วมทุนทันที
"ส่วนทิศทางการดำเนินธุรกิจที่เครือเบทาโกรมุ่งเน้นไปยังธุรกิจอาหารแปรรูปเพื่อส่งออกนั้น สืบเนื่องจากความสำเร็จในสายธุรกิจอาหารของเครือเบทาโกรในปัจจุบัน ที่สามารถส่งออกไปจำหน่ายยังประเทศต่างๆ เช่น ยุโรป ญี่ปุ่น และนับเป็นมูลค่า 2,200 ล้านบาท ในปี 2539 หรือคิดเป็นสัดส่วน 15 เปอร์เซ็นต์จากยอดขายรวมของเครือเมื่อปี 2539 คือ 16,000 ล้านบาท ซึ่งผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่เป็นผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปจากเนื้อไก่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของบริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ เบทาโกร โฟรเซ่น ฟู้ดส์ (ประเทศไทย)จำกัด ที่ได้ร่วมทุนกับกลุ่มอายิโนะโมะโต๊ะแห่งประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้ร่วมทุนที่มีความแข็งแกร่งในตลาดโฟรเซ่นฟู้ดส์มากนั้น เราประสบความสำเร็จอย่างยิ่งกับผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปแช่แข็งเพื่อการส่งออกโดยในปี 2539 เริ่มดำเนินการผลิตเดือนสิงหาคม สามารถส่งออกได้ 800 ตัน มูลค่า 90 ล้านบาท(ส.ค.-ธ.ค.2539) ส่วนในปี 2540 ประมาณการส่งออกที่ 3,200 ตัน หรือคิดเป็นมูลค่า 350 ล้านบาทและจากนโยบายการส่งเสริมการส่งออกและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารของกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงอุตสาหกรรม ที่จะส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในตลาดโลก นับเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เรามั่นใจว่าทิศทางของธุรกิจในอนาคตของเราควรจะมุ่งเน้นขยายการลงทุนในธุรกิจส่งออกผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปให้มากขึ้น โดยไม่จำกัดว่าจะเป็นการลงทุนในประเทศหรือต่างประเทศ"นายวนัสกล่าวเพิ่มเติม
ด้านการบริหารภายในองค์กรของเครือเบทาโกรปีที่ 30 นี้ นับเป็นการบริหารงานของผู้บริหารรุ่นที่สอง ต่อจากผู้บริหารรุ่นแรกที่มีนโยบายการบริหารแบบอนุรักษ์นิยม ซึ่งนายวนัสได้กล่าวถึงความแตกต่างของการบริหารของผู้บริหารรุ่นแรก และรุ่นปัจจุบันว่า "แต่เดิมเราบริหารงานกับแบบครอบครัว สไตล์เถ้าแก่และผู้บริหารมืออาชีพไม่ได้มีโอกาสตัดสินใจมากนัก แต่ในรุ่นที่สองที่ผมบริหารงานอยู่นี้ จะเป็นการบริหารงานที่นำหลักวิชาในการบริหารธุรกิจโดยมีผู้บริหารมืออาชีพเป็นผู้บริหารเป็นส่วนใหญ่ รวมถึงการนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้ในการบริหารงานอย่างมีประสิทธิภาพ ทีมงานมืออาชีพจะสามารถแสดงฝีมือในบทบาทหน้าที่ของตนอย่างเต็มตัว โดยบทบาทของเถ้าแก่จะลดลงอย่างมาก"
ส่วนผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2540 นั้นนายวนัสกล่าวว่า ผลการดำเนินงานของเครือฯ ต่ำกว่าเป้าหมายบ้างแต่ไม่ทั้งหมด คือ จากยอดขายที่ตั้งเป้าไว้ประมาณ 9,000 ล้านบาท สามารถทำได้จริง 8,000 กว่าล้านบาท ซึ่งอาจต้องปรับลดเป้าหมายในช่วงครึ่งปีหลังใหม่ให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจเพราะปัจจัยการดำเนินธุรกิจเปลี่ยแปลงไป เป็นเวลาที่ต้องดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวัง และปรับองค์กรให้กระชับสามารถบริหารงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตามในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าในส่วนของการส่งออกจะทำได้ดีขึ้นและสูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ เนื่องจากได้มีการเปิดตลาดใหม่ในแคนาดา ซึ่งเพิ่งอนุมัติให้นำเข้าไก่จากไทยได้
"เป้าหมายของเครือเบทาโกรวันนี้ เราจะเป็นหน่วยหนึ่งของสังคมที่ทำหน้าที่ของตนเองอย่างดีที่สุดไม่สร้างภาระแก่สังคม และเป็นแหล่งสร้างงานแก่พนักงานจำนวนมาก พร้อมเป็นกำลังในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศในยามที่ประเทศชาติเกิดภาวะคับขันเช่นนี้" นายวนัสกล่าวในตอนท้าย
ข้อมูลเพิ่มเติม
ปัจจุบัน เครือเบทาโกรแบ่งการดำเนินธุรกิจออกเป็น 4 สายธุรกิจ ประกอบด้วย สายธุรกิจการเกษตร ได้แก่ อาหารตั้งแต่และปศุสัตว์ ไก่ สุกร ผลิตภัณฑ์อาหาร นับเป็นธุรกิจที่เครือเบทาโกรมีความเชี่ยวชาญและดำเนินงานมาตั้งแต่ปี 2510 เป็นเวลา 30 ปี จึงมั่นใจในศักยภาพ พร้อมจะนำเทคโนโลยีที่พัฒนาไปลงทุนต่างประเทศ
ธุรกิจที่สอง คือ ธุรกิจเทคโนโลยี เป็นการดำเนินธุรกิจแนวใหม่ที่สามารถดำเนินการควบคู่กับการอนุทรัพย์กรธรรมชาติ โดยมีการวิจัยและพัฒนาเป็นรากฐาน ล่าสุดได้ร่วมทุนกับ บริษัท โกลเดอร์แอสโซซิเอทส์ (ประเทศแคนาดา) จำกัด จัดตั้งบริษัท บีทีจี โกลเดอร์ จำกัด ดำเนินธุรกิจด้านสิ่งแวดล้อม และได้เข้าร่วมดำเนินการในโครงปรับปรุงสภาพและคุณภาพน้ำในคลองกรุงเทพมหานครร่วมกับกรุงเทพมหานครและโครงการความร่วมมือทางอุตสาหกรรมขององค์กรระหว่างประเทศแคนาดา(CIDA)
ธุรกิจที่สาม คือ ธุรกิจสังหาริมทรัพย์ ประสบความสำเร็จกับอาคารสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ เบทาโกร ทาวเวอร์ ในโครงการนอร์ธปาร์ค ถนนวิภาวดีรังสิต เปิดเป็นสำนักงานให้เช่า ขณะนี้มีพื้นที่ให้เช่าทั้งหมด 95 เปอร์เซ็นต์ พร้อมดำเนินการสวนป่าสักขนาดใหญ่ ในพื้นที่ 2,300 ไร่ ที่จังหวัดลพบุรี ชื่อโครงการ "ป่าสัก ฮิลล์ไซด์ ฟอร์เรส" ขณะนี้อยู่ระหว่างการพัฒนาไปสู่โครงการรีสอร์ตและที่พักอาศัยสมบูรณ์แบบ
และธุรกิจที่สี่ คือ ธุรกิจสารสนเทศ ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีบทบาทสำคัญยิ่งต่อการดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน ซึ่งมีโอกาสและแนวโน้มที่ดี ล่าสุดเครือเบทาโกรได้เปิดตัวซอฟต์แวร์ HR2000 Version 5 เพื่อใช้ในงานบริหารบุคคล โดยพัฒนาจากเมจิกซอฟท์แวร์ ซึ่งเป็น Tool ที่ได้รับการยอมรับมาแล้วทั่วโลก และเครือเบทาโกรเป็นผู้แทนจำหน่ายอยู่ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริหารระดับสูงในการบริหารงานและการตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วสอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน--จบ--

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ