กรุงเทพฯ--11 ก.ย.--บลจ.กสิกรไทย
นายนาวิน อินทรสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า จากการที่ S&P สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำ ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศบราซิลลงเมื่อวันที่ 10 กันยายนที่ผ่านมา จากระดับ BBB- ลงมาอยู่ที่ระดับ BB+ ซึ่งเป็นระดับต่ำกว่าระดับที่สามารถเข้าไปลงทุนได้ (Non-Investment Grade) ด้วยเหตุผลในเรื่องภาวะการขาดดุลงบประมาณของบราซิลที่มีแนวโน้มแย่ลง โดย S&P คาดว่าทั้งในปีนี้และปีหน้า จะขาดดุลประมาณ 8% ของ GDP นอกจากนี้ภาวะเศรษฐกิจบราซิลที่มีแนวโน้มถดถอยจากผลกระทบเรื่องค่าเงินที่อ่อนค่าต่อเนื่อง และการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนที่เป็นคู่ค้ารายใหญ่ของบราซิล รวมถึงปัญหาความร่วมมือทางการเมืองภายในประเทศที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ทำให้มีการคาดการณ์ว่า GDP ของบราซิลปีนี้จะหดตัวลง 2.5% อย่างไรก็ตาม สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถืออื่นๆ ได้แก่ FITCH และ Moody's ยังคงอันดับเครดิตของบราซิลอยู่ที่ BBB และ Baa3 ตามลำดับ
"ในมุมมองของบลจ.กสิกรไทย มองว่าการปรับลดอันดับเครดิตของประเทศในครั้งนี้ เกิดมาจากความเสี่ยงในด้านฐานะการคลังของบราซิลที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงความเสี่ยงจากตัวเลขเศรษฐกิจอื่นๆ อาทิ อัตราส่วนหนี้ภาครัฐต่อ GDP ที่ขึ้นมาแตะในระดับ 65% ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา และตัวเลขการขาดดุลงบประมาณที่เพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันรัฐบาลบราซิลยังไม่ได้เกิดการผิดนัดชำระหนี้ขึ้น จึงยังไม่ได้ส่งผลกระทบต่อกองทุนของบลจ.กสิกรไทย ทั้งนี้เมื่อพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐาน บราซิลเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ และมีปริมาณเงินสำรองระหว่างประเทศสูงเป็นอันดับ 7 ของโลกกว่า 3.7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้หนี้ส่วนใหญ่ของรัฐบาลบราซิล เป็นหนี้ที่เกิดจากสกุลเงินในประเทศ จึงได้รับผลกระทบจากการอ่อนค่าของเงินเรียลค่อนข้างจำกัด" นายนาวินกล่าว
สำหรับกองทุนตราสารหนี้ประเภท Term fund ของบลจ.กสิกรไทยที่ได้เปิดเสนอขายไปในช่วงที่ผ่านมา ได้มีการลงทุนในตราสารหนี้ของสถาบันการเงินในบราซิล และกองทุนดังกล่าวส่วนใหญ่จะครบกำหนดอายุลงภายในระยะเวลา 3-6 เดือน นอกจากนี้ส่วนใหญ่ยังเป็นกองทุนที่นำเสนอขายสำหรับผู้ลงทุนในกลุ่ม AI หรือผู้ลงทุนที่มิใช่รายย่อยและผู้มีเงินลงทุนสูง ซึ่งกองทุนมีนโยบายที่สามารถลงทุนในตราสารหนี้หรือเงินฝากที่ไม่ได้รับการจัดอันดับเครดิตหรือที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าที่สามารถลงทุนได้ เพื่อเปิดโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นให้กับผู้ลงทุน และกองทุนมีการป้องกับความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนไว้อยู่แล้ว ดังนั้นผู้ลงทุนที่กังวลว่าโอกาสรับผลตอบแทนอาจจะลดลง จึงสามารถคลายความกังวลลงไปได้
ส่วนกองทุนต่างประเทศ ได้แก่ กองทุนเปิดเค โกลบอล บอนด์ (K-GB) ได้รับผลกระทบในทางตรงค่อนข้างน้อย เนื่องจากปัจจุบันมีสัดส่วนการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลบราซิลเพียง 6% และรัฐบาลบราซิลเองยังไม่ได้มีการผิดนัดชำระหนี้เกิดขึ้น แต่ก็อาจมีความเสี่ยงทางอ้อมจากความผันผวนของราคาตราสาร รวมถึงจากอัตราแลกเปลี่ยนของบราซิล บลจ.กสิกรไทยจึงยังไม่แนะนำให้เข้าลงทุนเพิ่มเติมสำหรับกองทุน K-GB และแนะนำให้รอดูสถานการณ์ไปก่อน ขณะที่กองทุนเปิดเค โกลบอล แอลโลเคชั่น (K-GA) ปัจจุบันมีสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้เอกชนบราซิล 0.05% และลงทุนในหุ้นบราซิลอีกประมาณ 0.5% ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก จึงไม่ได้รับผลกระทบอย่างมีนัยยะสำคัญ นอกจากนี้กองทุน K-GA ยังมีนโยบายกระจายการลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ทั่วโลก และมีการปรับพอร์ตการลงทุนให้สอดคล้องกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด จึงยังสามารถสร้างผลตอบแทนในระดับที่น่าพอใจได้ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกที่ผันผวนในช่วงนี้
นายนาวินกล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตาม บลจ.กสิกรไทย ได้มีการชะลอการเข้าลงทุนเพิ่มเติมในตราสารหนี้ของบราซิลมาระยะหนึ่งแล้ว เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงจากความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เพราะมองว่าสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถืออื่นๆ อาทิ FITCH , Moody's รวมถึง S&P เอง ยังคงมีโอกาสที่จะออกมาปรับลดอันดับเครดิตของบราซิลเพิ่มเติมได้อีกในอนาคต ทั้งนี้บลจ.กสิกรไทยจะมีการติดตามสถานการณ์และประเมินเหตุการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อให้เกิดผลกระทบแก่ผู้ลงทุนน้อยที่สุด