กรุงเทพฯ--14 ก.ย.--IR network
บมจ. มาสเตอร์คูล อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ KOOL เคาะราคาขาย IPO หุ้นละ 1.80 บาท กำหนดเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 16 - 18 ก.ย. 2558 คาดเข้าซื้อขายในตลาด MAI วันแรก 23 ก.ย. นี้ พร้อมแต่งตั้งอันเดอร์ไรท์มือทอง บล. ทรีนีตี้ จำกัด เป็นผู้จัดการในการจัดจำหน่ายหุ้น ร่วมกับอีก 3 โบรกเกอร์ชั้นนำ "สุธางค์ คนศิลป" มั่นใจกระแสตอบรับจากนักลงทุนดีเยี่ยม จากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง สินค้ามีนวัตกรรมและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แถมส่วนมีลดให้นักลงทุนซื้อถึง 45% เทียบเคียงตลาดหลักทรัพย์ MAI ด้าน "นพชัย วีระมาน" ระบุเตรียมนำเงินเพิ่มทุนไปใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์เน้นนวัตกรรม และสร้างคลังสินค้าหลังพบความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้น-ลดต้นทุนค่าเช่าพื้นที่เก็บสินค้าในปัจจุบัน
นางสาวสุธางค์ คนศิลป กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ บริษัทมาสเตอร์คูล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ KOOL เปิดเผยว่า ได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 120 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 1.80 บาท ซึ่งถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐาน และมีส่วนลดถึงร้อยละ 45 เมื่อเปรียบเทียบกับ PER ของตลาดหลักทรัพย์ MAI โดยคำนวณจากกำไรสุทธิต่อหุ้น จากผลกำไรสุทธิของบริษัทในช่วง 4 ไตรมาสล่าสุด ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก กำหนดเปิดให้จองหุ้นเพิ่มทุนระหว่างวันที่ 16 – 18 กันยายนนี้ และคาดว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ MAI หมวดอุตสาหกรรมบริการ (Service) ได้ในวันที่ 23 กันยายน 2558 โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายว่า "KOOL" พร้อมกันนี้ยังร่วมกับอีก 3 โบรกเกอร์ชั้นนำ ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ เคที ซีมีโก้ จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัส จำกัด เป็นผู้ร่วมจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้
"KOOL ประกอบธุรกิจจัดหาและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทำความเย็น อาทิ พัดลมไอเย็น พัดลมไอน้ำ พัดลมอุตสาหกรรม พัดลมระบายอากาศ อุปกรณ์อะไหล่ และผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับโอโซน เป็นต้น ภายใต้ตราสินค้า MASTERKOOL และ Cooltop โดยรายได้หลักมาจากพัดลมไอเย็นที่เป็นสินค้านวัตกรรมที่ KOOL ออกแบบและจัดจำหน่ายขึ้นเป็นเจ้าแรกๆ ของไทย เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภคในการแก้ไขปัญหาอากาศร้อน และปัจจุบันสินค้าดังกล่าวยังถือว่าใหม่ในตลาด เมื่อเทียบกับพัดลมและแอร์ที่รู้จักกันมานาน จึงถือเป็นข้อดีที่ตลาดจะมีการเติบโตได้อีกมาก เพราะทิศทางการรับรู้ถึงสินค้าในตลาดดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงจัดเป็นอีกหนึ่งบริษัทที่น่าสนใจลงทุน ด้วยปัจจัยพื้นฐานทางด้านธุรกิจที่แข็งแกร่ง สินค้ามีนวัตกรรม นอกจากนี้ บริษัทมีทีมวิจัยและพัฒนาของตนเองทำให้มีศักยภาพในการออกแบบสินค้าใหม่ที่ทันสมัยได้คุณภาพนำออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยมีตลาดทั้งลูกค้าองค์กร โรงงานอุตสาหกรรม และผู้ที่อยู่อาศัยตามบ้านเรือนและคอนโดมิเนียม จึงส่งผลให้ผลประกอบการเติบโตอย่างโดดเด่นและต่อเนื่อง และมีโอกาสในการขยายธุรกิจในอนาคตที่จะเติบโตได้อีกมากทั้งในประเทศและต่างประเทศ เห็นได้จากในช่วงโรดโชว์ที่ผ่านมาสินค้าของบริษัทได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก ดิฉันจึงเชื่อมั่นว่าหุ้น KOOL จะสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่าให้กับนักลงทุน" นางสาวสุธางค์ กล่าวในที่สุด
นายนพชัย วีระมาน กรรมการผู้จัดการ บริษัทมาสเตอร์คูล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (KOOL) เปิดเผยว่า เตรียมนำเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ไปสร้างคลังสินค้าที่ จ. ชลบุรี เพื่อรองรับการกระจายสินค้าที่จะมีมากขึ้น ตามการขยายตัวของตลาดที่เติบโตต่อเนื่องทุกปี เนื่องจากผู้บริโภคมั่นใจในแบรนด์สินค้าของ MASTERKOOL ที่มีคุณภาพ ทำความเย็นได้จริงและประหยัดพลังงานกว่าการใช้แอร์ 10 เท่า รวมถึงนำมาใช้วิจัยและพัฒนาโดยเน้นสินค้านวัตกรรมใหม่นำออกสู่ตลาด อีกทั้งจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน เพื่อเพิ่มศักยภาพการทำธุรกิจให้มีความแข็งแกร่งและขยายธุรกิจให้มีอัตราการเติบโตที่ดีในอนาคต เนื่องจากปริมาณความต้องการของลูกค้ายังมีเข้ามาอย่างต่อเนื่องตามการขยายตัวของกำลังซื้อของผู้บริโภค ผ่านช่องทางการขายที่หลากหลายทั้งโมเดิร์นเทรด ตัวแทนจำหน่าย และผ่านเว็บไซต์ชั้นนำ รวมถึงจำหน่ายในต่างประเทศอีกเกือบ 40 ประเทศในช่วงที่ผ่านมา และในอนาคตจะขยายไปสู่ลูกค้าระดับชุมชนมากขึ้น จึงมั่นใจว่าในอนาคต KOOL จะสามารถขยายตัวต่อไปได้อีกมาก เนื่องจากการมีเงินทุนหมุนเวียนมากขึ้นซึ่งทำให้บริษัทมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้น มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก และได้รับการยอมรับในฐานะที่เป็นบริษัทจดทะเบียน
"นอกเหนือจากจุดแข็งในตัวสินค้าที่มีคุณภาพทำความเย็นได้ดีกว่าคู่แข่ง และมีการพัฒนาเน้นสินค้านวัตกรรมใหม่ออกมาทุกปีแล้ว บริษัทยังมีสินค้านวัตกรรมด้านโอโซน ออกจำหน่าย ซึ่งสามารถนำไปพัฒนาได้หลากหลาย เช่น บำบัดน้ำเสียและฆ่าเชื้อโรค ทำเครื่องล้างสารเคมีจากผักและผลไม้ หรือเครื่องกำจัดกลิ่นรองเท้า เป็นต้น ซึ่งธุรกิจนี้ทำผ่านบริษัทลูกคือ บริษัท อินโนว์ กรีน โซลูชั่น จำกัด ภายใต้ตราสินค้า "ingreen" ซึ่งเชื่อว่าในอนาคตจะเป็นสินค้าที่ได้รับการตอบรับที่ดีตามแนวโน้มของผู้บริโภคที่หันมาใส่ใจสุขภาพมากยิ่งขึ้น" นายนพชัย กล่าวในที่สุด
สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเติบโตกว่า 42% ต่อปี โดยในปี 2557 มีรายได้รวม 463.49 ล้านบาท กำไรสุทธิ 31.40 ล้านบาท และในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2558 บริษัทมีรายได้รวม 437.26ล้านบาท กำไรสุทธิ 27.17 ล้านบาท และมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิ